ดันเกษียณ ‘60+’ รับประชากรลด ทางรอดยุคเด็กเกิดน้อย-สังคมสูงวัย

ดันเกษียณ ‘60+’ รับประชากรลด ทางรอดยุคเด็กเกิดน้อย-สังคมสูงวัย

“โรเบิร์ต วอลเตอร์ส” ชี้เทรนด์จ้างงานไทยเดินตามเทรนด์จ้างงานโลก เริ่มเห็นการขยายอายุเกษียณพนักงานระดับบริหารบางองค์กร “หอการค้า” หนุนขยายอายุเกษียณ

KEY

POINTS

  • “โรเบิร์ต วอลเตอร์ส” ชี้เทรนด์จ้างงานไทยเดินตามเทรนด์จ้างงานโลก เริ่มเห็นการขยายอายุเกษียณพนักงานระดับบริหารบางองค์กร
  • “หอการค้า” หนุนขยายอายุเกษียณทั้งภาคธุรกิจและภาคราชการ รองรับเด็กเกิดน้อยกระทบแรงงาน
  • ระบุเกษียณแบบยืดหยุ่นตามความจำเป็นแต่ละสายงาน
  • สศช.ระบุจ้างงานสูงวัยหนุนขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ

การขยายอายุเกษียณเป็นประเด็นที่ถูกนำเสนอมาตลอดในช่วงที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งทำให้ประชากรวัยแรงงานของไทยลดลง โดยมีการประเมินกำลังวัยแรงงานอายุ 15-64 ปี ในปี 2566 มีจำนวน 46 ล้านคน แต่ในปี 2626 จะลดเหลือเพียง 14 ล้านคน

ในวันที่ 30 ก.ย.2568 เป็นวันสุดท้ายการทำงานของข้าราชการที่อายุครบ 60 ปี ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) เคยศึกษาขยายอายุราชการรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งมีข้อเสนอมาที่ ก.พ.ให้ขยายไปที่ 63 ปี แต่เลื่อนข้อเสนอนี้ออกไปหลังเกิดโควิด

ขณะที่การจ้างงานภาคเอกชนมีบางส่วนที่มีการจ้างงานในตำแหน่งบริหารหลังจากอายุครบ 60 ปี ในขณะที่บางตำแหน่งในบางบริษัทมีการเกษียณก่อนกำหนด

“กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์ นางปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทยของบริษัท โรเบิร์ต วอลเตอร์ส ซึ่งอยู่ในธุรกิจการจัดหางาน (Recruitment) ระดับโลกเกี่ยวกับประเด็นนี้ 

นางปุณยนุช ระบุว่า หลายประเทศขยายอายุเกษียณแรงงานให้สอดคล้องโครงสร้างอายุประชากรและรับมือสังคมสูงวัย โดยหลายประเทศในยุโรปเดินหน้านโยบายนี้ ได้แก่ เดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่มีท่าทีชัดเจน โดยมีแผนขยายอายุเกษียณถึง 74 ปี ภายในปี 2060

ขณะที่สหราชอาณาจักร กำหนดเป้าหมายปรับอายุเกษียณเป็น 68 ปี ภายในปี 2046 ส่วนอิตาลีมีแนวโน้มขยับอายุเกษียณไปที่ 71 ปี โดยขึ้นกับจำนวนปีที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม

เอสโตเนียคล้ายกันคาดว่าจะปรับอายุเกษียณไปอยู่ที่ 71 ปี ขณะที่เนเธอร์แลนด์กำหนดแล้วว่าจะขยายอายุเกษียณเป็น 67 ปีมาตั้งแต่ปี 2023 สำหรับสวีเดน ปัจจุบันกำหนดอายุสูงสุดของการจ้างงานที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองทางกฎหมายไว้ที่ 67 ปี

ฟินแลนด์เลือกใช้ระบบเชื่อมโยงอายุเกษียณเข้ากับอายุคาดเฉลี่ยของประชากร เพื่อปรับอายุการทำงานให้สอดคล้องสภาวะประชากรที่เปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ขณะที่สโลวาเกียคาดว่าอายุเกษียณในอนาคตจะขยับขึ้นไปแตะ 69 ปี

สำหรับทิศทางดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการปรับโครงสร้างนโยบายแรงงานและบำนาญของประเทศต่างๆที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีประชากรวัยแรงงานลดลง และมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

“เทรนด์การขยายอายุเกษียณแรงงานในบาง sector แนวโน้มนี้ได้เกิดขึ้นแล้วในยุโรป และบริษัทไทยบางแห่งเริ่มนำมาใช้ด้วยการขยายสัญญาจ้างงาน โดยลูกค้าบางรายที่เราได้พูดคุยด้วย และพวกเขาได้ขยายสัญญาการทำงานของผู้บริหารออกไป ซึ่งขณะนี้ยังขึ้นกับแต่ละบุคคล องค์กร และกลยุทธ์ทางธุรกิจด้วย”

ภาคธุรกิจหนุนขยายอายุเกษียณ

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจมองการจ้างงานมีทิศทางเดียวกับต่างประเทศที่เริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัยและมีเด็กเกิดใหม่น้อย โดยไทยมีอัตราการเกิดที่ลดลงต่อเนื่องและปี 2567 มีเพียง 4 แสนคนเศษ

แสดงให้เห็นว่าจำนวนประชากรวัยแรงงานของไทยจะลดต่ำลงในอนาคต และอาจต้องขยายการจ้างงาน โดยการจ้างงานในไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1.การจ้างงานภาคเอกชน ซึ่งแต่ละบริษัทกำหนดอายุเกษียณแตกต่างกันตั้งแต่ 50-60 ปี โดยบางบริษัทมีการจ้างงานต่อสำหรับผู้มีอายุเกิน 60 ปี ส่วนใหญ่เป็นลักษณะสัญญาจ้าง 1 ปี และต่อสัญญาได้ แต่การจ้างงานส่วนนี้จะได้รับสวัสดิการต่างออกไปเพราะใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานคนละฉบับกับแรงงานปกติ

สำหรับการจ้างงานส่วนนี้ขึ้นกับบางธุรกิจและบางบริษัทที่มีความจำเป็นต้องใช้ผู้มีประสบการณ์ในการทำงาน ส่วนกรณีที่บางบริษัทประกาศเกษียณอายุก่อนกำหนดตั้งแต่ 45 ปี เป็นเพราะหาแรงงานที่อายุน้อยกว่าหรือค่าจ้างต่ำกว่าหรือใช้เทคโนโลยีมาทดแทนงานส่วนนั้น

2.การจ้างงานภาครัฐ ปัจจุบันมีข้าราชการประมาณ 2 ล้านคน อาจจะกำหนดการเกษียณอายุราชการที่ยืดหยุ่นขึ้นจากปัจจุบันกฎหมายกำหนดที่ 60 ปี โดยการขยายอายุราชการให้ยืดหยุ่นขึ้นควรพิจารณาจากการมีผู้ทดแทนหรือไม่ เป็นสาขาที่ขาดแคลนผู้มีความรู้และประสบการณ์หรือไม่ ซึ่งอาจนำแนวทางข้าราชการตุลาการมาใช้พิจารณาความจำเป็นด้านประสบการณ์ที่ทำให้มีการขยายอายุราชการ

ทั้งนี้ การขยายอายุเกษียณราชการอาจจะให้ข้าราชการได้เลือกระหว่าการเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี หรือเลือกต่ออายุในบางตำแหน่ง

แผนหนุนจ้างงานหลังเกษียณอายุ

รายงานข่าวจาก สศช.ระบุว่า ภาวะประชากรไทยเผชิญปัญหา 2 ด้าน ทั้งเด็กเกิดน้อย และประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยได้วางแผนรับมือผ่านการจัดทำแผนประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว (2565-2580) 

ทั้งนี้ สศช.ดำเนินการร่วมกับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ที่มุ่งแก้ไขปัญหาเด็กเกิดน้อยและเตรียมความพร้อมรับมือสังคมผู้สูงอายุ โดยเน้นส่งเสริม “การเกิดที่มีคุณภาพ” ควบคู่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพของประชากรสูงอายุ

ส่วนหนึ่งของแผนดังกล่าวรองรับการจัดการประชากรผู้สูงอายุ โดยกำหนดมาตรการสนับสนุนการจ้างงานและการทำงานของผู้สูงอายุหลายระดับ มาตรการที่มีอยู่เดิมประกอบด้วยการเปิดศูนย์บริการจัดหางานสำหรับผู้สูงอายุครบทุกจังหวัด รวม 87 แห่ง 

รวมถึงการกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจให้สถานประกอบการจ้างงานผู้สูงอายุ การกำหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมงสำหรับผู้สูงอายุ และการจัดตั้งโครงการธนาคารสมอง (Brain Bank) เพื่อเป็นศูนย์รวมของผู้ทรงคุณวุฒิที่เกษียณอายุและสมัครใจเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ

สำหรับระยะยาว เน้นการส่งเสริมการจ้างงานตามความสามารถ (สมรรถนะ) เพื่อลดอคติทางอายุ (Age discrimination) และข้อจำกัดอื่นของผู้สูงอายุ การจัดให้มีรูปแบบการทำงานหลากหลายและยืดหยุ่นเพื่อรองรับกลุ่มคนเปราะบางโดยเฉพาะผู้สูงอายุ 

นอกจากนี้การขยายช่วงอายุการทำงานของประชากรให้เหมาะสมกับสาขาอาชีพที่ขาดแคลนและจำเป็น และการพัฒนาทักษะ (Upskill/Reskill) แบบครบวงจรเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำระบบข้อมูลและจัดกลุ่มทักษะ (Skill clusters) สำหรับกลุ่มอาชีพต่างๆ ที่ชัดเจน เพื่อนำพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงจุดขึ้น และการจัดให้มีระบบให้คำปรึกษาและวิเคราะห์ความต้องการเฉพาะของแรงงานแต่ละกลุ่มรวมถึงผู้สูงอายุ

แนะพัฒนาทักษะรองรับวัยเกษียณ

ขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านการเงินและสุขภาพเพื่อรองรับวัยเกษียณเป็นอีกหนึ่งมิติสำคัญเนื่องจากผู้สูงอายุจำนวนมากต้องพึ่งพารายได้จากการทำงาน แผนดังกล่าวจึงเน้นสนับสนุนการวางแผนดูแลสุขภาพทั้งกายและใจในกลุ่มผู้สูงอายุ การส่งเสริมการประกันสุขภาพแบบไม่ให้ความคุ้มครองทันทีแต่จะเริ่มคุ้มครองในวัยเกษียณอายุ (Deferred health insurance)

และการพัฒนาระบบการดูแลระยะกลางและระยะยาว (Long Term Care) ที่สอดรับบริบทพื้นที่เมืองและชนบทสำหรับผู้สูงอายุในทุกกลุ่มรวมทั้งต้องทำ “มาตรการคานงัด" (Big Impact) เพื่อพัฒนาประชากรรุ่นถัดไปให้มีคุณภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบดูแลคนรุ่นพ่อแม่เมื่อเข้าสู่ผู้สูงอายุ

ทั้งนี้แผนพัฒนาประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาวสะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างสมดุลระหว่างปริมาณและคุณภาพประชากร เพื่อให้ไทยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในทศวรรษข้างหน้าได้ยั่งยืน