‘วิรไท’เตือนไทยต้องปฏิรูประบบราชการจริงจัง ก่อนก้าวไม่ทันโลก

“วิรไท” ชี้ระบบราชการไทยยังเป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ แนะปฏิรูปจริงจัง ไม่ใช่แค่ปรับผิวเผิน ต้องเน้นต้านคอร์รัปชัน ปรับกฎเกณฑ์ภาครัฐ และสร้างรากฐานโครงสร้าง
KEY
POINTS
- “วิรไท” ชี้ระบบราชการไทยยังเป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ
- แนะปฏิรูปจริงจัง ไม่ใช่แค่ปรับผิวเผิน
- ต้องเน้นต้านคอร์รัปชัน ปรับกฎเกณฑ์ภาครัฐ
- สร้างรากฐานโครงสร้างใหม่ เพื่อให้ไทยเดินหน้าอย่างยั่งยืน
วานนี้ (26 ก.ย.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดสัมนาประจำปี 2568 ในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform”
นายวิรไท สันติประภพ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อการเสวนาหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย ทำอย่างไรให้เป็นจริง” โดยมีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า ระบบราชการไทย ในปัจจุบันยังคงเป็นปัจจัยที่ชะลอและฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องผลักดันให้ปรับเปลี่ยนบทบาทจากให้กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญเพื่อพัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนของประเทศ
“การเปลี่ยนแปลงของโลกที่เร่งตัวขึ้น ระบบราชการจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับพลวัตใหม่และสามารถเป็นผู้นำในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำและการจัดสวัสดิการประชาชนอย่างครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพและการศึกษาให้มีคุณภาพมากขึ้น"
นายวิรไท กล่าวต่อว่าสาเหตุที่การปฏิรูประบบราชการไทยยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม มีหลายสาเหตุ ได้แก่ การปรับปรุงระบบราชการเพียงผิวเผิน ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐาน โครงสร้างองค์กรมีการแยกส่วนมากเกินไป สร้างปัญหาการบริการและความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน การยึดติดกับกฎหมายเก่าที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งวัฒนธรรมองค์กรที่ได้รับอิทธิพลจากการเมือง ทำให้ไม่ได้ทีการมุ่งเน้นประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก
"การปฏิรูปโครงสร้างประเทศให้มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการดำเนินการสามประการหลัก คือ การต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น การปฏิรูปกฎเกณฑ์ภาครัฐ และการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นทั้งนี้ ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงผลสำเร็จระยะสั้น”
นายวิรไท ยังได้วิเคราะห์ปัญหาการปฏิรูประบบราชการไทย ชี้ให้เห็นว่า "รัฐของเรามีภูมิต้านทานที่ต่ำลงเรื่อยๆ ภูมิคุ้มกันที่น้อยลงเรื่อยๆ" โดยสะท้อนได้จากการที่ Moody's และ Fitch Rating ปรับลด Outlook ของอันดับความน่าเชื่อถือของไทยเป็น Negative
6 ปัญหาหลักที่ทำให้การปฏิรูปล้มเหลว
โดยสาเหตุสำคัญ 6 ประการที่ทำให้การปฏิรูประบบราชการไทยไม่บรรลุเป้าหมาย ได้แก่
1. ทำ Modernization แต่ไม่ Transformation ระบบราชการไทยทำแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้เสริม แต่ยังไม่ได้พลิกโฉมระบบงานอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) ที่ถือเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
2. ปัญหาการแตกกล่อง เกิดการแตกกล่องกันมากขึ้นในระบบราชการ ไม่มีการยุบรวมหรือควบรวมหน่วยงาน ส่งผลให้เกิดปัญหาในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ทั้งในแนวตั้งจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค และโดยเฉพาะในแนวราบระหว่างหน่วยงาน
3. ยึดติดกรอบกฎหมายเก่า ระบบราชการยังคงยึดกรอบกฎหมายเดิมเป็นหลัก กฎหมายที่ออกมาเพื่อตอบปัญหาในอดีต โดยไม่ได้ปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอนการทำงานให้ทันสมัย
4. วัฒนธรรมองค์กรผิดทิศทาง วัฒนธรรมการเป็นอุปถัมภ์ยังคงมีอิทธิพลมากกว่าการสร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ มีการเน้นพิธีกรรมมากกว่าเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์จริง
5. วัฒนธรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ข้าราชการมีแนวโน้มหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ไม่กล้ารับผิดชอบหรือบริหารจัดการความเสี่ยง ทำให้ขาดนวัตกรรมและการพัฒนาที่แท้จริง
และ 6. ขาดความรับผิดชอบต่อประชาชน ปัญหาสำคัญที่สุดคือการขาดความรับผิดชอบ (Accountability) การยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชนค่อยๆ หายไปจากระบบราชการไทย
"ความท้าทายสำคัญในปัจจุบันคือการหาแนวทางวางรากฐานการปฏิรูปให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน" นายวิรไท กล่าว







