งานยาก 'ธนกร' รมว.อุตสาหกรรม เคลียร์ปมร้อนเหมืองทองอัครา

นับถอยหลังสู่วันสิ้นสุดข้อพิพาทเหมืองทองอัครา 30 ก.ย. 2568 หลังคณะอนุญาโตตุลาการนัดอ่านคำชี้ขาดที่เลื่อนมาหลายครั้ง ท่ามกลางการกลับมาดำเนินกิจการของบริษัทอัคราฯ และการจับตาว่า "ธนกร" รัฐมนตรีอุตสาหกรรมคนใหม่ จะสามารถคลี่คลายปมร้อนที่ยืดเยื้อมากว่า 8 ปีได้หรือไม่
KEY
POINTS
- นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ เผชิญความท้าทายในการเจรจาแก้ไขข้อพิพาทเหมืองทองอัครา ก่อนถึงเส้นตายที่คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศจะอ่านคำพิพากษาในวันที่ 30 กันยายน 2568
- บทบาทของนายธนกรกำลังเป็นที่จับตามองว่าจะสามารถนำไปสู่ข้อยุติที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน หรือจะนำไปสู่การเลื่อนคำพิพากษาออกไปอีกครั้งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้งที่ผ่านมา
- เส้นตายครั้งนี้ถือเป็นจุดตัดสินสำคัญของคดีที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งหากมีการเลื่อนอีกจะสะท้อนความซับซ้อนของปัญหาทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ กฎหมาย และเศรษฐกิจ
- สังคมและนักลงทุนกำลังรอคำตอบว่าปมร้อนนี้จะสามารถปิดฉากลงได้ในยุคของนายธนกรเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมหรือไม่
ใกล้ถึงเส้นตาย 30 กันยายน 2568 ที่คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศจะอ่านคำพิพากษาข้อพิพาทคดีเหมืองทองอัครา หลังจากทั้งรัฐบาลไทยและบริษัทคิงส์เกตฯ จากออสเตรเลีย ผลัดกันร้องขอเลื่อนการอ่านคำชี้ขาดมาแล้วหลายครั้ง โดยครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นจุดตัดสินสำคัญว่าจะได้ข้อยุติหรือยืดเยื้ออีกต่อไป
ขณะที่การเข้ามารับตำแหน่งของ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ กำลังเป็นที่จับตามองว่าจะสามารถนำพาการเจรจาสู่ทางออกที่ทั้งประเทศและชุมชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์ร่วมกัน หรือจะกลายเป็นอีกหนึ่งรอบการเลื่อนคำพิพากษาเช่นที่ผ่านมา ซึ่งตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งรัฐบาลไทยและบริษัทคิงส์เกตฯ เจ้าของกิจการเหมืองทอง ได้ร้องขอเลื่อนการอ่านคำชี้ขาดมาแล้วหลายครั้ง โดยให้เหตุผลเพื่อเปิดทางการเจรจาหาข้อยุติร่วมกัน
อย่างไรก็ดี เส้นตายรอบนี้ถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ว่าคดีพิพาทที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2560 จะได้บทสรุป หรือจะถูกยืดเวลาออกไปอีก ซึ่งหากเลื่อนซ้ำ ย่อมสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหา ทั้งในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพประชาชน กฎหมาย และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
กรณีดังกล่าวเริ่มต้นจากคำสั่ง คสช. ที่ 72/2559 ให้ปิดเหมืองทองคำชาตรี จ.พิจิตร เมื่อปี 2559 ท่ามกลางข้อร้องเรียนผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม กระทั่งบริษัทแม่คิงส์เกตฯ จากออสเตรเลีย ยื่นฟ้องรัฐบาลไทยภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) นำไปสู่การสู้คดีในศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สิงคโปร์
แม้ตลอดช่วงปี 2563–2568 ทั้ง 2 ฝ่ายจะพยายามเจรจาเพื่อลดแรงปะทะ และรัฐบาลไทยเองก็ได้เปิดทางให้อัคราฯ กลับมาดำเนินการเหมืองตั้งแต่มี.ค. 2566 พร้อมปรับปรุงกรอบกฎหมายและกลไกดูแลชุมชน แต่ปมพิพาทยังไม่คลี่คลายจนกว่าจะมีคำพิพากษาสุดท้าย
จึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ในวันที่ 30 กันยายนนี้ คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการจะออกมาเป็นที่สิ้นสุด หรือประเทศไทยและคิงส์เกตฯ จะเลือกยืดเวลาออกไปอีกครั้ง เพื่อรักษาประโยชน์ร่วมกันและหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น หากมีคำตัดสินข้างใดข้างหนึ่งแพ้คดีอย่างเป็นทางการ
นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร อัคราฯ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาได้มีการพูดคุยกันเสมอ โดยเชื่อว่าในเรื่องนี้ น่าจะมีข่อสรุปที่ดีได้ เมื่ออัคราเดินกำลังการผลิตอย่างเต็มรูปแบบ บริษัทจะป้อนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยมากถึง 4.1 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงค่าภาคหลวงแร่ประมาณ 1,158 ล้านบาทต่อปี สร้างรายได้แก่ชุมชนผ่านการจ้างงานและการสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศ 2,700 ล้านบาทต่อปี และจัดสรรเงินเข้ากองทุนต่าง ๆ เพื่อประโยชน์แก่ชุมชน อีกกว่า 243 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ ตั้งแต่อัครากลับมาเปิดดำเนินการรอบใหม่นี้ นับตั้งแต่มี.ค. 2566 จนถึงมิ.ย. 2568 ได้จ่ายค่าภาคหลวงไปแล้ว 1,535 ล้านบาท โดย 40% ของค่าภาคหลวงแร่จะถูกจัดสรรให้เป็นรายได้รัฐอีก 50% ถูกจัดสรรให้แก่ชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินการทำเหมือง โดยแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% องค์การบริหารส่วนตำบลที่ประทานบัตรตั้งอยู่ 20% และองค์การบริหารส่วนตำบลภายในจังหวัดอีก 10% และส่วนสุดท้ายอีก 10% ที่เหลือจะถูกจัดสรรให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ทั้งนี้ ได้ช่วยเสริมศักยภาพขององค์กรท้องถิ่นในการดูแลประชาชนได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดงานและโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่จำนวนมาก
นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดี กพร. เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า กรณีข้อพิพาทดังกล่าว คณะอนุญาโตตุลาการได้เลื่อนการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินออกไปหลายรอบจนล่าสุดจะครบกำหนดการออกคำชี้ขาดหรือคำตัดสินวันที่ 30 ก.ย. 2568 ตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายร้องขอ ซึ่งใกล้จะครบกำหนดของกรอบระยะ ยังคงเชื่อว่าจะสามารถเจรจาให้ข้อพิพาทยุติลงได้
การนับถอยหลังสู่วันที่ 30 ก.ย.นี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ข้อพิพาทเหมืองทองอัคราจะได้ข้อยุติสิ้นสุดเสียที หรือจะมีการขยายเวลาการอ่านคำพิพากษาออกไปอีกครั้งเหมือนที่ผ่านมา และที่สำคัญที่สุด คือปมร้อนนี้จะปิดฉากลงในยุคของนายธนกร รัฐมนตรีอุตสาหกรรมคนใหม่หรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่สังคมและนักลงทุนต่างรอคำตอบ







