‘ส.อ.ท.’ จี้รัฐ ดันรีไซเคิลวาระแห่งชาติ แก้วิกฤตขยะพลาสติกถล่มประเทศ

‘ส.อ.ท.’ จี้รัฐ ดันรีไซเคิลวาระแห่งชาติ แก้วิกฤตขยะพลาสติกถล่มประเทศ

“ส.อ.ท.” ร้องรัฐบาลส่งเสริมการจัดการขยะพลาสติกและสนับสนุนการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน เพื่อให้พลาสติกไม่ตกค้างในธรรมชาติและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

KEY

POINTS

  • นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. ชี้ว่าปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมคือ "การจัดการขยะพลาสติก" และการรีไซเคิลคือหัวใจหลักของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสมาคม PPP Plastics ระบุว่าไทยเคยถูกจัดอันดับเป็นอันดับ 6 ของโลกที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลสูง สะท้อนความจำเป็นในการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง
  • ภาครัฐถูกเรียกร้องให้สนับสนุนการแยกขยะอย่างถูกต้องและสร้างระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพในประเทศ หลังจากที่ได้ยกเลิกการนำเข้าขยะพลาสติกในปี 2564
  • การแก้ไขวิกฤตขยะพลาสติกและการรีไซเคิลต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อส่งเสริมการใช้พลาสติกรีไซเคิลและลดการใช้พลาสติกใหม่
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการปรับปรุงกระบวนการรีไซเคิลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกไทยสู่ความยั่งยืน

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมพลาสติก ซึ่งมีการผลิตและใช้พลาสติกจำนวนมาก ส่งผลกระทบทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ หากไม่มีกระบวนการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ ขยะพลาสติกจะกลายเป็นปัญหาที่ส่งผลเสียต่อทั้งธรรมชาติและสังคม

นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงสถานการณ์ของอุตสาหกรรมพลาสติกในไทยว่า จากการที่นโยบายภาษีสหรัฐจากต่างประเทศส่งผลกระทบต่อการส่งออกพลาสติกไทยไปยังสหรัฐฯ ทำให้ผู้ประกอบการหันมามองตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมีการเติบโตที่ดีและมีศักยภาพในการขยายตลาดเพิ่มขึ้น

ถึงแม้จะมีกลยุทธ์ในการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์ แต่ปัญหาสำคัญที่ยังคงค้างคาอยู่คือเรื่อง "การจัดการขยะพลาสติก" ซึ่งยังคงมีขยะพลาสติกตกค้างมากมายในธรรมชาติ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสม การรีไซเคิลพลาสติกจึงกลายเป็นหัวใจหลักของการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกอย่างยั่งยืน

“รีไซเคิล” โอกาสและความท้าทาย

พลาสติกมีความสำคัญในอุตสาหกรรมหลายประเภท โดยเฉพาะในภาคการบรรจุภัณฑ์ (40%) และการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และก่อสร้าง ขณะที่ในปี 2022 ไทยสามารถรีไซเคิลพลาสติกได้เพียง 18% และล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 22% ซึ่งมีปริมาณขยะพลาสติกที่นำมาหมุนเวียนในการผลิตมากถึง 7 แสนตัน

อย่างไรก็ตาม แม้การรีไซเคิลจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีอุปสรรคสำคัญในเรื่องของ ต้นทุนการรีไซเคิล ซึ่งสูงกว่าการผลิตพลาสติกจากวัตถุดิบใหม่ๆ หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการรีไซเคิลให้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนจะยังคงสูง ทำให้ไม่สามารถลดปริมาณขยะพลาสติกได้อย่างแท้จริง

หวังรีไซเคิลสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน

นายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP Plastics กล่าวว่า ในปี 2559-2560 ประเทศไทยเคยถูกจัดอันดับเป็นอันดับ 6 ของโลกที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลสูง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดการขยะพลาสติกอย่างจริงจัง โดยปัจจุบันไทยมีกำหนดการที่จะรีไซเคิลวัสดุพลาสติกจำนวน 5 หมื่นตันต่อปี และมีโครงการในพื้นที่หนองแขมและ EEC เพื่อเริ่มต้นจัดการขยะพลาสติกให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลไทยได้ยกเลิกการนำเข้าขยะพลาสติกในปี 2564 ถือเป็นการตัดสินใจที่มีความสำคัญ เนื่องจากขยะพลาสติกในประเทศมีปริมาณมากอยู่แล้ว และขณะนี้รัฐบาลควรให้ความสำคัญในการสนับสนุนการแยกขยะอย่างถูกต้อง รวมถึงการสร้างระบบการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ

หนุนร่วมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“การจัดการขยะพลาสติกและการรีไซเคิลไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน หากทุกฝ่ายร่วมมือกันในการส่งเสริมการใช้พลาสติกรีไซเคิลและลดการใช้พลาสติกใหม่อย่างไม่จำเป็น จะสามารถเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้”

ทั้งนี้ แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงกระบวนการรีไซเคิลให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จะสามารถช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลาสติกไทยไปในทิศทางที่ยั่งยืนได้ในอนาคต

รัฐบาลไทยจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการรีไซเคิลพลาสติก และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในการจัดการขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้พลาสติกที่เคยเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม กลับมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า ซึ่งการทำงานร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย