'ดนุชา' ฉายภาพแผนฯ13 ยังไม่บรรลุผล แม้ใช้งบฯปีละ 1 ล้านล้าน แนะเร่ง 5 เรื่องยกเครื่องประเทศ

'ดนุชา' ฉายภาพแผนฯ13 ยังไม่บรรลุผล แม้ใช้งบฯปีละ 1 ล้านล้าน แนะเร่ง 5 เรื่องยกเครื่องประเทศ

‘ดนุชา’’ ชี้วิกฤตความเชื่อมั่นฉุดไทยโตต่ำ! เผย 2 ปีครึ่ง ‘แผนพัฒนาฯ 13’ ใช้เงินปีละล้านล้าน แต่ไร้ผล ต้องเร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง-กล้าเปลี่ยนแปลงประเทศจริงจังใน 5 มิติ

KEY

POINTS

  • ‘ดนุชา’’ ชี้วิกฤตความเชื่อมั่นฉุดไทยโตต่ำ! จากเศรษฐกิจชะลอตัว หลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลางยาก 
  • เผย 2 ปีครึ่ง ‘แผนพัฒนาฯ 13’ ใช้เงินปีละล้านล้าน แต่ยังไม่ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ทั้งลดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำ 
  • ต้องเร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้าง-กล้าเปลี่ยนแปลงประเทศจริงจังใน 5 มิติ
  • ย้ำต้องกล้าที่จะเปลี่ยนและทำทันที

วันนี้ (26 ก.ย.) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในการประชุมประจำปีของสภาพัฒน์ปี 2568 ในหัวข้อ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย Thailand’s Institutional Reform” ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการพัฒนาประเทศ และการเติบโตโดยในทางเศรษฐกิจอาจมองได้ว่าประเทศไทยหยุดชะงักมานานแล้ว เนื่องจากยังคงทำในเรื่องเดิมๆ โดยไม่มีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง และมีความยากลำบากในทางเศรษฐกิจและเผชิญกับข้อจำกัดในการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้นในอนาคต

2 ปีครึ่งของแผนฯ 13 ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

นายดนุชาได้เปิดเผยภาพรวมความคืบหน้าของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (2566 - 2570) ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2566 โดยในการดูข้อมูลจากการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่หน่วยงานรัฐได้รายงานว่าสอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ 13 นั้น มีการใช้วงเงินงบประมาณเฉลี่ยสูงถึง ประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยดูจากแผนของหน่วยราชการที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ13 แต่ผลที่ออกมายังไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ เช่น รายได้ประชาชาติต่อหัว ปัจจุบันอยู่ที่ 7,400 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เป้าหมายสิ้นปี 2570 คือ 9,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะทำได้ตามเป้าหมาย ส่วนอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยโดยรวมเติบโตต่ำกว่า 5% มาตลอดตั้งแต่แผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 ซึ่งไม่เพียงพอที่จะผลักดันประเทศจากรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง

'ดนุชา' ฉายภาพแผนฯ13 ยังไม่บรรลุผล แม้ใช้งบฯปีละ 1 ล้านล้าน แนะเร่ง 5 เรื่องยกเครื่องประเทศ

นอกจากนั้นในการพัฒนาคน ของประเทศพบว่า ดัชนีความก้าวหน้าของคน ที่บอกถึงการพัฒนาคนสู่โลกยุคใหม่ในปี 2566 และ 2567 กลับถอยหลังลงจากปี 2565 ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากในการจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2570

ความเหลื่อมล้ำยังสูงขึ้น

ขณะที่ในแง่ของความเหลื่อมล้ำ พบว่าช่องว่างรายจ่ายระหว่างกลุ่มคนที่มีสถานะทางเศรษฐกิจสูง (10% ของประชากร) กับกลุ่มล่าง (40% ของประชากร) มีช่องว่าอยู่ที่ประมาณ 5.22 เท่า ขณะที่เป้าหมายคือต่ำกว่า 5 เท่า และในด้านรายได้ ซึ่งสะท้อนว่าช่องว่างระหว่างคนรวย 10% บน กับกลุ่มเปราะบาง 10% ต่างกันถึง 10 กว่าเท่า และมีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้นายดนุชา ชี้ให้เห็นถึงปัญหาในการจัดสรรงบประมาณ 1 ล้านล้านบาทต่อปี โดยพบว่ากว่า 50% เป็นค่าใช้จ่ายด้านการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การรักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม และการศึกษา ประมาณ 18% เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทั่วไป เช่น ถนน ซึ่งเป็นงานรูทีนปกติ ขณะที่ในภาคเกษตร มีการจัดสรรสัดส่วนประมาณ 10% หรือแสนล้านบาทต่อปี  งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับงานด้านอุปทาน เช่น การขุดลอก อ่างเก็บน้ำ การแจกเมล็ดพันธุ์ โดยการใช้งบประมาณยังถือว่าขาดการลงทุนเชิงรุก งบประมาณขาดการมุ่งเน้นในเรื่องสำคัญที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เช่น การเพิ่มผลิตภาพของภาคเกษตร การนำเทคโนโลยีมาใช้ การแปรรูปสู่สินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่อยู่ในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 13 เช่น Wellness หรือ Medical Industry ก็ยังไม่มีการลงทุนในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง

"การทำงานที่ผ่านมานั้น เป็นการทำงานในลักษณะที่เป็นงานปกติ ไม่ได้เป็นการทำในเรื่องใหม่ ๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อนให้ประเทศเราก้าวขึ้นมาอยู่ในการสร้างอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจให้สูงขึ้นได้" นายดนุชา กล่าว

นายดนุชากล่าวต่อว่าในส่วนของความสามารถในการแข่งขัน (IMD) ประเทศไทยได้ลดลงไปอยู่ที่อันดับ 34 สิ่งที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของไทยอย่างมากคือ ประสิทธิภาพภาครัฐ ที่ถูกฉุดลงมาเนื่องจากปัญหาเรื่อง การบริหารสถาบัน (Institutional Management) กฎระเบียบทางธุรกิจ และ กรอบการบริหารทางด้านสังคม

ทั้งนี้ปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างล่าช้าและถดถอย คือ ปัญหาการบริหารในเชิงสถาบัน โดยมี 5 ประเด็นหลักที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่

1. กฎหมายและกฎระเบียบ: เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม (Level Playing Field) และจำกัดโอกาสในการสร้างธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้กลไกกฎหมายไปจำกัดการแข่งขันในบางอุตสาหกรรม

2. การทุจริต (Corruption): การทุจริตมีอยู่และฝังรากลึก ซึ่งเป็นต้นทุนต่อภาคธุรกิจและประชาชน ประเทศที่มีค่าดัชนี CPI ดี (คอร์รัปชันน้อย) จะมีรายได้ต่อหัวสูงกว่า

3. หลักนิติธรรม: กระบวนการยุติธรรมที่ล่าช้าเกินความคาดหมาย (เช่น คดีในตลาดทุนที่ใช้เวลานาน) ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

4. ประชาธิปไตย: แม้ดัชนีโดยรวมจะลดลง แต่ข้อดีคือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ และช่วยให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะไม่ถูกขัดขวางด้วยวิธีอื่น

5. การบริหารจัดการภาครัฐ: ภาครัฐมีขนาดใหญ่เกินไป มีกฎระเบียบจำนวนมาก และเน้นการ "ควบคุม" มากกว่าการ "อำนวยความสะดวก" ทำให้การทำงานขาดนวัตกรรม และไม่สามารถตอบสนองการพัฒนาในภาพใหญ่ได้อย่างแท้จริง

5 เรื่องต้องเดินหน้าทันที 

นายดนุชา ระบุว่าปัญหาต่างๆได้ส่งผลต่อ Trust (ความเชื่อมั่น) Confidence (ความเชื่อมั่น) และ Accountability (ความรับผิดชอบ) หากไม่ปรับปรุง จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ไม่สูง และผลประโยชน์จากการพัฒนากระจุกตัวอยู่แค่บางกลุ่ม ดังนั้นหากต้องการขับเคลื่อนประเทศให้ได้ผลตามที่คาดหวังและต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างจริงจัง ต้องเดินหน้า 5 เรื่อง ได้แก่

1. ความมุ่งมั่นแน่วแน่: ต้องมีความแน่วแน่ที่จะลงมือทำเรื่องนั้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่พูด

2. ร่วมกันลงมือทำ (Action Together): ต้องลงมือทำด้วยกัน และในเรื่องที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ภาคเอกชนต้องช่วยกัน กดดัน (Pressure) ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

3. การออกแบบใหม่: ต้องมีการ ดีไซน์สถาบันและกติกาใหม่ และนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ในการขับเคลื่อน

4. กล้าที่จะเปลี่ยน: ต้องมีความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลง

5. มองเป็นเรื่องฉุกเฉิน (Emergency): ต้องเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องฉุกเฉิน รอไม่ได้ และต้องทำทันที หากประเทศกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง (to dare to change) เราก็จะได้ประเทศไทยในฝันกลับมา