‘เอกนิติ’ รื้อกรอบการคลังครั้งใหญ่ เร่งกระตุ้นระยะสั้น-หวังผลยาว

“เอกนิติ” ย้ำ “Quick Big Win” กระตุ้นเศรษฐกิจ 4 เดือน เร่งปลดล็อกอนุมัติการลงทุน รื้อกรอบการคลังระยะปานปลางครั้งใหญ่ พ.ย.นี้ “อรรถพล” ดันโซลาร์ภาคประชาชนเป้า 1,500 เมกะวัตต์
KEY
POINTS
- รัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นแบบ “Quick Big Win” เช่น โครงการคนละครึ่ง พลัส และการลดค่าครองชีพ เน้นให้เกิดผลเร็วแต่ยังคงรักษาวินัยการคลัง
- เตรียมปรับปรุงกรอบการคลังระยะปานกลางครั้งใหญ่ในเดือนพ.ย. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นตั้งเป้าหมายระยะยาวให้การขาดดุลกลับมาอยู่ที่ระดับ 3%
- เร่งปลดล็อกอุปสรรคด้านการลงทุนผ่าน PPP Fast Track และส่งเสริมการเข้าถึงพลังงานสะอาด เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- มุ่งเน้นการปฏิรูปด้านรายได้โดยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ และบริหารงบประมาณปี 2569 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่มีการเพิ่มวงเงิน
หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ได้เตรียมเข้าสู่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29-30 ก.ย.2568 โดยระหว่างนี้รัฐมนตรีทยอยเข้ากระทรวงเพื่อเตรียมการทำงานหลังการแถลงนโยบาย
ขณะที่ร่างนโยบายของรัฐบาลเสียงข้างน้อยทำให้ต้องเร่งแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่กับการวางรากฐานของประเทศ และการขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สำหรับด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลจะครอบคลุมการสร้างรายได้ลดรายจ่าย ประกอบด้วยโครงการคนละครึ่ง, ลดค่าพลังงาน, ลดค่าโดยสารและลดค่าผ่านทาง
ส่วนการแก้ปัญหาหนี้สิน และเพิ่มสภาพคล่องจะแก้ไขหนี้ภาคประชาชน ช่วยแก้หนี้รายบุคคลในระบบ รายละไม่เกิน 1 แสนบาท และจะเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท นอกจากนี้การฟื้นความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจะปราบปรามการฉ้อโกง และการหลอกลวงนักท่องเที่ยว และมีมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ
ขณะที่การรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าจะจัดตั้งทีมไทยแลนด์ รวมถึงการดูแล SMEs และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรุนแรง และจะผลักดันให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
รวมทั้งจะสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัย โดยปรับระบบส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ประกอบด้วย ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ยานยนต์สมัยใหม่, อาหารแห่งอนาคต, พลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมชีวภาพ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับวินัยการคลัง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเร่งการฟื้นตัวในระยะสั้น และหวังผลลัพธ์ในระยะยาวอีกด้วย
นายเอกนิติ กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี มีกรอบเวลาสั้นเพียง 4 เดือน แต่จะเน้นมาตรการ “Quick Big Win” ซึ่งต้องรวดเร็วสร้างผลกระทบใหญ่พอ และเป็นประโยชน์ทุกฝ่าย รวมถึงสร้างผลระยะยาว เช่น โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่จะเข้า ครม.หลังสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนต.ค.2568 โดยใช้งบประมาณเดิม และไม่ได้ทำให้การขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ โครงการยังออกแบบให้ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจะได้ประโยชน์มากกว่า ซึ่งเป็นการสะท้อนว่ารัฐบาลคิดถึงวินัยการคลังและส่งเสริมให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษี
รวมทั้งการยกระดับศักยภาพ Up Skill และ Re Skill ของผู้ประกอบการรายย่อย เช่น การช่วยพ่อค้า แม่ค้า ขายหมูปิ้งให้เข้าระบบ e-commerce หรือออนไลน์ได้มากขึ้น รวมถึงใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยทำบัญชีที่ง่ายขึ้น โดยจะหารือสถาบันการเงินเพื่อให้เชื่อมข้อมูลการทำบัญชีให้ถูกต้อง และนำไปสู่การขอสินเชื่อง่ายขึ้น
“เป้าหมายหลักของรัฐบาลคือ การเพิ่มความสามารถในการหารายได้ และให้เกิดการกระจายตัวไปทั่วประเทศ โดยจะเห็นโครงการลักษณะใกล้เคียงกันออกมาต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี”
เร่งปลดล็อกอนุมัติการลงทุน
นายเอกนิติ กล่าวว่า ตามที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยการทำ PPP Fast Track เพื่อปลดล็อกปัญหา และอุปสรรคด้านกฎกติกาการลงทุนให้การขออนุญาตเร็วขึ้น เช่น น้ำ ไฟ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนจริง
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ แต่สามารถเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ประเทศได้เบื้องต้น ได้หารือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน เพื่อปลดล็อกการเข้าถึงพลังงานสะอาดซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
ส่วนกรณีที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ปรับลดมุมมองประเทศไทยนั้น นายเอกนิติ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่รัฐบาลตระหนักดี และเป็นคำเตือนที่ต้องให้ความสำคัญ แม้จะไม่สามารถพูดถึงความกังวลด้านการเมืองได้ แต่ในฐานะได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านเศรษฐกิจจะพยายามตอบโจทย์ความกังวลดังกล่าวโดยเฉพาะวินัยการคลัง
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับธรรมาภิบาลการคลัง (Fiscal Governance) โดยทุกนโยบายต้องเปิดเผยข้อมูลโปร่งใส และระบุชัดเจนถึงต้นทุนงบประมาณ ประโยชน์ที่ได้รับ และผลลัพธ์
รื้อกรอบการคลังระยะปานกลาง
นายเอกนิติ ยืนยันว่า เป้าหมายการขาดดุลการคลังระยะยาวให้กลับมาที่ระดับ 3% ซึ่งรัฐบาลจะไม่พูดลอยๆ แต่จะเน้นการกระทำ ให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือได้เห็น
โดยแผนงานที่สำคัญคือ การจัดทำกรอบการคลังระยะปานกลาง (Medium Term Fiscal Framework) ซึ่งจะปรับปรุงครั้งใหญ่ในเดือนพ.ย.เพื่อสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลมีแผนปฏิรูปการคลังที่ชัดเจน และมีความโปร่งใส มีวินัย
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการปฏิรูปรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รัฐบาลในส่วนที่ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย และทำได้ทันที รวมทั้งดำเนินนโยบายภายใต้งบประมาณรายจ่ายปี 2569 และจะไม่ได้มีการเพิ่มวงเงิน แต่จะเน้นการใช้จ่ายงบประมาณเดิมให้มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายมากขึ้น
เดินหน้าโซลาร์ประชาชน 1.5 พันเมกะวัตต์
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า นโยบายด้านพลังงานที่สำคัญ คือ การลดภาระค่าพลังงานแก่ประชาชน ซึ่งช่วงปลายปีเป็นช่วงราคาพลังงานสูงขึ้น เบื้องต้นจะดูการบริหารจัดการให้ราคาพลังงานไม่เป็นภาระให้กับประชาชน
รวมถึงการสนับสนุนสังคมคาร์บอนต่ำในเรื่องพลังงานสีเขียวเพื่อขับเคลื่อนไทยสู่เป้าหมาย Net Zero ดังนั้น ในการสนับสนุนจะมีหลายรูปแบบ เช่น โครงการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชน
ส่วนนโยบายโซลาร์ภาคประชาชนเป้าหมาย 1,500 เมกะวัตต์ ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่จะสนับสนุนโครงการพลังงานสีเขียวให้ประชาชนได้ประโยชน์ ดังนั้นแผน PDP จึงต้องดูในรายละเอียด ส่วนโครงการต่างๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่จะรื้อหรือไม่คงจะต้องเข้าไปดูรายละเอียด
รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการโซลาร์ชุมชน ภายใน 4 เดือน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 โดยตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนรวม 1,500 เมกะวัตต์ ในระยะเริ่มต้น
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานผลักดันโครงการโซลาร์ภาคประชาชนเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในฐานะผู้ผลิต และผู้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ โดยปี 2564 ได้ปรับหลักเกณฑ์รับซื้อไฟฟ้าใหม่ โดยปรับเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินจากกลุ่มบ้านผู้อยู่อาศัยที่จำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเป็น 2.20 บาทต่อหน่วย จากเดิมรับซื้อ ในราคาไม่เกิน 1.68 บาทต่อหน่วย และมีระยะเวลาการรับซื้อถึง 10 ปี
ขอให้ข้าราชการทำงานเต็มความสามารถ
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า โครงการที่พร้อมเปิดประมูลช่วง 4 เดือนนี้ รวมวงเงิน 3 โครงการ กว่า 3.8 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
1.โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และตลิ่งชัน-ศิริราช วงเงิน 15,176 ล้านบาท
2.โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต วงเงิน 6,473 ล้านบาท
3.โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร วงเงิน 16,757 ล้านบาท
ส่วนโครงการอื่นที่พร้อมเสนอ ครม.เป็นโครงการค้างจากรัฐบาลก่อนได้มอบให้ปลัดกระทรวงคมนาคมเร่งรวบรวม อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวม 3 โครงการ คือ
1.รถไฟทางคู่ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422.53 ล้านบาท
2.รถไฟทางคู่ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270.51 ล้านบาท
3.รถไฟทางคู่ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,772.90 ล้านบาท
หั่นค่ารถไฟฟ้าไม่กระทบฐานะคลัง
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ในส่วนรถไฟฟ้าสายสีม่วง และสายสีแดง ตามมติ ครม.ชุดก่อนที่ให้สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2569 แต่เนื่องจากเปลี่ยนรัฐบาลจึงต้องพิจารณามติดังกล่าวว่ายังมีผลหรือไม่ ดังนั้นรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงจะกลับไปราคาเดิมวันที่ 1 ต.ค.2568 หลังจากนั้นรัฐบาลจะทำมาตรการลดค่าครองชีพแพ็กเกจการเดินทางครอบคลุมทั้งทางบก น้ำและราง
ส่วนแนวคิดตั๋วร่วมหรือค่าโดยสารราคาเดียวที่เคยหาเสียงจะถูกพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจใหม่ แต่จะศึกษาราคาที่เหมาะสมก่อน เพราะต้องคำนึงถึงจุดสมดุลระหว่างภาระงบประมาณ และประโยชน์ของประชาชน
ทั้งนี้ จะอ้างอิงบทเรียนนโยบาย 20 บาท ทุกเส้นทางในอดีต พบว่า สร้างภาระชดเชยให้รัฐเกือบ 20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งนโยบายนี้ก็อาจไม่เป็นธรรมต่อประชาชนในต่างจังหวัดเพราะดำเนินการเฉพาะส่วนของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







