‘ปานปรีย์’ ชี้หมดยุค ‘ไผ่ลู่ลม’ ถึงเวลานโยบายต่างประเทศเชิงรุก

‘ปานปรีย์’ ชี้หมดยุค ‘ไผ่ลู่ลม’  ถึงเวลานโยบายต่างประเทศเชิงรุก

“เดิมการต่างประเทศเน้นความสัมพันธ์ การเป็นกลาง มีเพื่อนเยอะ พูดคุยทุกประเทศได้ แต่ปัจจุบันต้องมียุทธศาสตร์ ถ้าไม่มีจะไม่ได้อะไรกลับมา”

บทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศที่ลดลงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาการให้น้ำหนักในการเจรจาข้อตกลงระหว่างประเทศลดลงทำให้ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยน้อยกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคู่แข่งทั้งด้านการค้า และการลงทุน เช่น เวียดนาม

ในวาระ “กรุงเทพธุรกิจ” ครบรอบ 38 ปี ได้นำเสนอประเด็นในหัวข้อ Out of the trap เพื่อนำเสนอแนวทางการก้าวข้ามกับดักแต่ละด้านของประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การเวที Thailand Economic Outlook 2026 “Out of The Trap” ในวันที่ 9 ต.ค.2568

นาย "ปานปรีย์ พหิทธานุกร" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ในประเด็นทิศทางนโยบายการต่างประเทศของไทยที่จะกลับมายืนอย่างสง่าบนเวทีโลก

‘ปานปรีย์’ ชี้หมดยุค ‘ไผ่ลู่ลม’  ถึงเวลานโยบายต่างประเทศเชิงรุก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า ในสถานการณ์สงครามเย็นอาจใช้นโยบายไผ่ลู่ลมได้ แรงมาทางขวาเราเอนไปทางซ้าย แรงมาทางซ้ายเราเอนไปทางขวา แต่ปัจจุบันทำไม่ได้เพราะโลกเปลี่ยนแปลงมากโดยเฉพาะภูมิรัฐศาสตร์ และถ้ามัวแต่ลู่ลมจะเป็นคนไม่มีจุดยืน 

"ไผ่ลู่ลมเป็น passive ไม่เชิงรุก เวลานี้ต้องออกไปเชิงรุก มี 2 เรื่องใหญ่ คือ เศรษฐกิจ และความมั่นคง เดิมการต่างประเทศเน้นความสัมพันธ์ การเป็นกลาง มีเพื่อนเยอะ พูดคุยทุกประเทศได้ แต่ปัจจุบันต้องมียุทธศาสตร์ ถ้าไม่มีจะไม่ได้อะไรกลับมา จึงต้องบาลานซ์ให้ดีว่าเรื่องไหนไปทางตะวันตก เรื่องไหนไปทางจีน ถ้ามียุทธศาสตร์ชัดเจนจะเดินต่อไปได้ด้วยความมั่นคง"

ส่วนในประเด็นสิทธิมนุษยชน และหลักการที่ไทยควรยึด โดยเฉพาะในอาเซียนที่มีหลักไม่แทรกแซงกิจการภายในนั้น เห็นว่าไทยต้องหันมาดูตัวเองว่าต้องการนำประเทศไปทิศทางไหน ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจไม่ดี และต้องการให้ดีขึ้นต้องดูว่าจะค้าขายกับใครอย่างไร เพื่อนำเงินเข้าประเทศไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือการเปิด FTA

รวมไปถึงการแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ และเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นพื้นฐานที่นานาชาติถือว่าสำคัญ ซึ่งไทยเคยเป็นประธานกลุ่มสิทธิมนุษยชนในสหประชาชาติ (UN) ถือว่าไทยให้ความสำคัญมาตลอด อาจอยู่ระดับ 80-85% ถือว่าดีมาก และไม่ได้ละเมิดแบบหลายประเทศที่กำลังมีปัญหา

"ตอนนี้ทุกคนมุ่งเศรษฐกิจเป็นหลัก ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนส่วนใหญ่ก็เดือดร้อน เป็นเรื่องหลักที่รัฐบาลไหนก็ต้องแก้ปัญหา วันนี้รัฐบาลเห็นความสำคัญนำคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีคลัง พาณิชย์ ต่างประเทศ พลังงาน คงมองเศรษฐกิจเป็นเรื่องหลัก ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจโยงใยกับการต่างประเทศ และเศรษฐกิจไทยจะดีต้องมีเงินต่างประเทศเข้ามา ถ้าการต่างประเทศไม่ชัดเจนไม่ดีก็ไม่มีใครมาลงทุน"

‘ปานปรีย์’ ชี้หมดยุค ‘ไผ่ลู่ลม’  ถึงเวลานโยบายต่างประเทศเชิงรุก

สำหรับรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ (นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว) เคยร่วมงานด้วย และเป็นอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งเคยเป็นเอกอัครราชทูตประจำหลายประเทศสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส รวมถึงเคยเป็นเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ซึ่งทำให้จึงรู้การต่างประเทศดี และสำคัญมากเป็นที่หลายประเทศจะเจอกันในเวทีพหุภาคี 

"รัฐมนตรีใหม่มีประสบการณ์เป็นผู้บริหาร เป็นทูต และมีประสบการณ์พหุภาคี มีปัญหารออยู่ คือ เรื่องกัมพูชา จากนั้นคงเป็นเรื่องทำอย่างไรให้เดินนโยบายเชิงรุกทางการต่างประเทศ เพื่อนำประเทศกลับสู่จอเรดาร์ของโลกอีกครั้ง ผมเชื่อมั่นว่าท่านจะทำได้"

ปัญหาใหญ่ “ไทย” ไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

มองมาที่ประเด็นการแข่งขันทางเศรษฐกิจในอาเซียน โดยเฉพาะการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศว่า ไทยประสบปัญหาสำคัญ คือ การไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และไม่ปรับตัวให้เท่าทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ยังใช้กระบวนการผลิตแบบเดิม แรงงานขาดทักษะที่จำเป็นแต่ค่าแรงงานสูงขึ้น 

ในขณะที่ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งก็เป็นปัจจัยที่ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเมื่อเทียบกับอดีตที่ไทยเคยแข่งกับสิงคโปร์ ปัจจุบันต้องแข่งขันกับเวียดนาม ซึ่งสะท้อนถึงการถดถอยของขีดความสามารถการแข่งขัน

นอกจากนี้ ความล่าช้าในการเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีหลายกรอบเจรจา โดยเฉพาะ CPTPP ที่ไทยยังไม่สามารถเข้าร่วมได้เป็นการสูญเสียโอกาสอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกับไทยแต่สามารถเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีหลายฉบับได้สำเร็จ 

ทั้งนี้ปัญหาหลักเกิดจากการต่อต้านจากในประเทศ และรัฐบาลขาดความมุ่งมั่นในการผลักดัน สิ่งสำคัญคือ การชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้รับ รวมถึงการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ การเจรจาไม่จำเป็นต้องยอมรับเงื่อนไขทุกประการ แต่ควรศึกษาว่าเวียดนามเจรจาได้อย่างไรจึงควรเป็นแนวทางสำหรับไทย

สนับสนุนไทยเข้าร่วม OECD-BRICS

นายปานปรีย์ กล่าวว่า การเข้าร่วม OECD จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับโครงสร้างประเทศ และการยกระดับมาตรฐานต่างๆ โดยเฉพาะด้านความโปร่งใส OECD เป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะยกระดับภาพลักษณ์ และมาตรฐานของไทย โดยไทยอยู่กระบวนการขั้นสุดท้าย คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี

สำหรับกลุ่ม BRICS นั้น เป็นการรวมตัวของประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีระดับเศรษฐกิจใกล้เคียงกับไทย การเข้าร่วมจะเป็นประโยชน์เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่าจะขัดแย้งกับกลุ่มตะวันตก และไทยสามารถรักษาความสัมพันธ์ได้ทั้งกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา

เตือนรับมือผลกระทบต่อทิศทางการค้าโลก

ส่วนประเด็นผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ ซึ่งนโยบายภาษีดังกล่าวสร้างความสับสนในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยเฉพาะการตัดสินใจว่าจะไปลงทุนผลิตในประเทศใดจึงจะส่งสินค้าเข้าสหรัฐได้โดยไม่ถูกเก็บภาษีสูง 

สำหรับผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า สินค้าทั่วไปอย่างเสื้อผ้า และเครื่องใช้อาจได้รับผลกระทบน้อยกว่า แต่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอย่างแร่หายาก เซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีสูงจะได้รับผลกระทบมากกว่า

สำหรับไทยที่ต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ และรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐอเมริกา และจีน เพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีสูงได้ อย่างไรก็ตาม การปรับตัวนี้อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังในอนาคต

แนะวางตำแหน่งซัพพลายเชนโลกให้ดี

นอกจากนี้ ประเด็นการแข่งขันระหว่างไทย และจีนจะมีผลต่อไทยอย่างไร โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคการผลิตไทย ซึ่งเห็นว่าเป็น Policy ที่รัฐบาลใหม่ต้องคิด โดยถ้าจะไปทางนวัตกรรมก็มีทั้งการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตและส่งออก แต่ปัญหา คือ ถ้าวัตถุดิบมาจากจีน แล้วสหรัฐจะปฏิเสธ แต่ถ้าวัตถุดิบมาจากสหรัฐแล้วจีนอาจจะไม่ปฏิเสธ 

ดังนั้นไทยต้องวางนโยบายให้ดีว่าการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่จะวางตัวได้ Balance หรือไม่ระหว่างไทยกับจีน เช่น กรณีไทยผลิต Semiconductor และวัตถุดิบ Rare earth มาจากจีนแล้วจะนำไปขายให้สหรัฐจะรับหรือไม่ เพราะสหรัฐมองเป็นเรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ

ในขณะที่กรณีพูดถึงการแยกห่วงโซ่อุปทานเป็น 2 ห่วงโซ่ เพื่อรองรับทั้งสหรัฐและจีน โดยอาจไม่ถึงขนาดนั้นเพราะไทยไม่ได้ค้าขายเฉพาะจีนกับสหรัฐ ซึ่งไทยนำเข้าจากจีนมาก และส่งออกไปสหรัฐมาก และแม้การค้าระหว่างจีนกับไทยจะสูงแต่ไทยก็พึ่งเงินจากการส่งออกมาก จึงต้องมากำหนด Position ของไทยให้ดี และวางเป้าหมายธุรกิจให้ชัด 

"ถ้าจะไปทางไฮเทคต้องรู้ว่าจะขายสินค้าให้ประเทศไหน และรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจแต่เป็นเรื่องความมั่นคง รวมทั้งถ้าจะขายได้ต้องคำนึงถึงความมั่นคงระหว่างประเทศ"

ถึงเวลาต้องเจรจา FTA กับสหรัฐ

ส่วนการเจรจา Reciprocal Tariff กับสหรัฐที่ไทยได้ภาษี 19% นั้น สิ่งที่คนเข้าใจคือ เก็บภาษีไทย 19% แต่ 19% นี้เก็บ on top ของ MFN (Most Favored Nation) เช่น กรณีสหรัฐเก็บภาษีไทย 2% จะเก็บทุกประเทศเท่ากัน และจะเก็บเพิ่ม 19% on top 

กรณีเวียดนามที่ได้ 20% แต่เวียดนามมี FTA กับสหรัฐทำให้ส่งสินค้าเข้าไปเป็นศูนย์ ในขณะที่ไทยต้องโดนภาษี 2% บวก 19% กลายเป็น 21% ยิ่งทำให้อำนาจการแข่งขันลดลง และจะมีข้อตกลงที่กำลังเจรจา ซึ่งมีรายละเอียดเยอะที่ต้องเอากลับเข้ารัฐสภา

ในขณะที่ประเด็นการเจรจา FTA กับสหรัฐเห็นว่าด้านการค้าคงหนีไม่พ้นที่จะต้องเจรจา เพื่อไม่ให้เสียเปรียบประเทศอื่น ซึ่งวันนี้เสียเปรียบเวียดนามแล้ว สาเหตุที่ไม่เจรจาเพราะกลัวการต่อต้านในด้านการเมืองจึงต้องถอย 

"ไทยเคยจะมี FTA กับสหรัฐในปี 2545-46 แต่ถูกต่อต้านแรงมาก ความกังวลหลักคือ เรื่องเกษตร เช่น เรื่องหมูจากสหรัฐที่มีสารที่ไทยไม่ยอมรับ ทำให้เข้ามาไม่ได้ และเป็น non-tariff barrier โดยสหรัฐจริงจังกับเรื่องนี้ ยกตัวอย่างข้าวโพดที่นำเข้า 3-4 ล้านตัน จากเมียนมา และลาว ในอนาคตอาจต้องนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งต้นทุนอาจถูกลงเป็นผลดีต่อผู้บริโภคแต่เกษตรกรอาจไม่ได้ดีนัก

ทั้งนี้ การเจรจาที่ผ่านมาไทยกังวลการเปิดเสรียาที่อาจต้องจ่ายค่ายาแพง แต่ประเด็นนี้หารือกันได้ และอาจให้ระยะเวลาเปิดเสรีใน 5-10 ปี ขึ้นกับการเจรจาบางครั้งอาจเข้า CPTPP อาจเข้าไปก่อนแล้วถ้าเจรจาไม่ลงตัวก็ถอนออกมา อย่างน้อยในภาพของชาวโลกจะมองว่าไทยจะมีข้อตกลงการค้า CPTPP

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์