ม.หอการค้า ชี้ เศรษฐกิจถดถอย ดัน หนี้ครัวเรือนไทยเฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสน สูงสุดในรอบ 4 ปี

ม.หอการค้าไทย เผยผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 68 เฉลี่ยบ้านละ 7.4 แสน สูงสุดในรอบ 4 ปี โดยหนี้นอกระบบพุ่ง แตะ 35% สาเหตุจากเศรษฐกิจถดถอย รายได้ลดลง หนุน คนละครึ่ง ดันจีดีพีไทยปีนี้โตได้ไม่ต่ำกว่า 2% ดึงให้หนี้ครัวเรือนลดลลง
นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทยปี 2568ว่า จ ากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง1,716 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 15-22 ก.ย.68 พบว่า ครัวเรือนไทยส่วนใหญ่ 30.9% มีรายเฉลี่ย 50,001-100,000 บาทต่อเดือน โดยส่วนใหญ่ 46.3% ไม่เคยเก็บออมเงินไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ส่วนกลุ่มคนที่มีการเก็บออมพบว่ามีการเก็บออมลดลง
ส่วนภาวะหนี้ของครัวเรือนในปี 2568 ว่าผู้ตอบส่วนใหญ่ 95.1% บอกว่ามีหนี้ มีเพียง 4.9% ที่ตอบว่าไม่มีหนี้ โดยมีหนี้เฉลี่ย 740,596.94 บาทต่อครัวเรือน มีอัตราผ่อนชำระ 22,022.08 บาทต่อเดือน โดยเป็นหนี้ในระบบสัดส่วน 65.0% ผ่อนชำระ 20,330 บาทต่อเดือน ส่วนอีก 35% เป็นหนี้นอกระบบ ผ่อนชำระ 8,023ต่อ เดือน..
สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่ม มาจาก มีเหตุต้องใช้เงินฉุกเฉินแบบไม่คาดคิด มีภาระทางการเงินในครอบครัวและรายได้ไม่ เพียงพอกับรายจ่าย จากสภาพเศรษฐกิจถดถอย และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับประเภทหนี้สิน พบว่า ส่วนใหญ่ 46.8 %เป็นหนี้บัตรเครดิต รองลงมา 40 %เป็นหนี้ที่อยู่อาศัยและ 37.1 %เป็นหนี้จากยานพาหนะและส่วนที่เหลือเป็นหนี้ที่มาจากการประกอบธุรกิจ เป็นหนี้ส่วนบุคคลที่มาจากการอุปโภคบริโภค หนี้การศึกษาและเป็นหนี้จากซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later)
โดยเมื่อแบ่งตามอาชีพจะพบว่า อาชีพราชการจะก่อหนี้ยานพาหนะมากสุด อาชีพรับจ้างจะก่อหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต เจ้าของกิจการจะก่อหนี้ที่อยู่อาศัย พนักงานเอกชนจะก่อหนี้บัตรเครดิต และเกษตรกรจะ ก่อหนี้สินเชื่อเพื่อการเกษตรมากที่สุด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า ปีนี้ คนไทยมีหนี้ครัวเรือนเฉลี่ย740,596 .94 บาท ต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้น 22.1% จากปีก่อน ที่เฉลี่ย ที่ 606,378 บาทต่อครัวเรือนในจำนวนนี้ เป็นหนี้ในระบบสัดส่วน 65%ลดลงจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ สัดส่วน 69.9%และอีก 35%เป็นหนี้นอกระบบ
โดยหนี้ครัวเรือน มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น มาจากปัญหาเศรษฐกิจถดถอยและรายได้ลดลงและสัดส่วนหนี้ในระบบลดลง และหนี้นอนระบบเพิ่มขึ้นเทียบจากปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า การปล่อยเงิน สินเชื่อในระบบเริ่มตึงตัว สอดคล้องกับตัวเลขธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระบุว่าการปล่อยสินเชื่อในระบบชะลอตัวลงและปัญหาเอ็นพีแอลมีแนวโน้มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ต้องหันมากู้นอกระบบเพิ่มขึ้น
กรณีมีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายส่วนใหญ่ 39.9% จะใช้วิธีกู้ยืมจากแหล่งต่างๆเช่น การกดเงินสดจากบัตรเครดิต กู้จากธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจ บริษัทที่ให้สินเชื่อ กู้ยืมจากญาติพี่น้องและ32.9 %ใช้การประหยัดลดค่าใช้จ่าย ที่เหลือใช้วิธีหารายได้เพิ่มและนำเงินออมมาใช้รวมทั้งการเปลี่ยนงานที่มีเงินเดือนสูงกว่า
“ประเทศไทยมีปัญหาหนี้ครัวเรือนมา10ปีแล้ว มีสัดส่วนสูงกว่า80% ของจีดีพี โดยปี67 ไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนราว 6แสนบาท ต่อครัวเรือน แต่ปีนี้ เพิ่มเป็น7.4 แสนบาทต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นถึง 22% ถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ4ปี สาเหตุหลัก เกิดจากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น และสินค้าเกษตรราคาตกต่ำ ขณะที่หนี้นอกระบบก็พุ่งสูงขึ้น เพราะสินเชื่อในระบบตึงตัวแบงก์ไม่ปล่อยกู้ทำให้สินเชื่อติดลบต่อเนื่อง4ไตรมาสแล้ว”นายนวรรธน์ กล่าว
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วน โดยต้องเร่งกระตุ้นจีดีพี โดยม.หอการค้าไทยหนุนมาตรการ คนละครึ่งวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นและจะทำให้จีดีพีไทยปีนี้โตได้ไม่ต่ำกว่า 2% ซึ่งจะดึงให้หนี้ครัวเรือนลดลงได้ และหากรัฐกระตุ้นต่อเนื่องทำให้จีดีพีได้ 3% ถึง 4% ในปีหน้าจะทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงตำกว่า80% ภายใน 3 ปี
นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องเร่งดูแลปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำโดยเฉพาะราคาข้าวนอกจากนี้จะต้องเร่งการปล่อยสินเชื่อในระบบให้มีการขยายตัวในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งจะช่วยเพิ่มการจ้างงาน และ ลดการกู้นอกระบบลง







