'สรรพสามิต' ปรับลดเป้าจัดเก็บรายได้ปีงบ 68 โตจากปีก่อน 2.17%

'สรรพสามิต' ปรับลดเป้าจัดเก็บรายได้ปีงบ 68 โตจากปีก่อน 2.17%

"สรรพสามิต" ปรับลดเป้าจัดเก็บรายได้ปีงบ 68 จากเอกสารงบประมาณ เหตุเศรษฐกิจโตต่ำ มาตรการส่งเสริมอีวี มั่นใจรายได้ภาษีโตกว่าปีก่อน 2.17%

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า สถานการณ์การจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตในปี 2568 ยอมรับว่ายังคงเป็นปีที่ท้าทาย เนื่องจากความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากภาษีรถยนต์ลดลงมาก เนื่องจากมีการสนับสนุนมาตรการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งภาษีที่จัดเก็บจากรถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราต่ำกว่ารถยนต์สันดาป

นอกจากนี้ อุปสงค์ของผู้บริโภคที่ชะลอตัวยังส่งผลกระทบต่อสินค้าทั่วไป รวมถึงสินค้าของกรมสรรพสามิต เช่น สุราและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะเบียร์ที่ค่อนข้างชะลอตัว รวมถึงรายได้จากภาษียาสูบที่ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
 

กรมสรรพสามิตได้รับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ ตามเอกสารงบประมาณ อยู่ที่ 6.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นมา 16% กระทรวงการคลังจึงได้ปรับเป้าการจัดเก็บลดลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ลงมาอยู่ที่ 535,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.17% จากปีที่แล้ว ซึ่งมั่นใจว่าการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตจะเป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว โดยในรอบ 11 เดือน (1 ต.ค.2567-31 ส.ค.2568) สามารถจัดเก็บได้ 489,600 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อน 1.6% 

ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความยั่งยืน กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีหลายประการ ได้แก่

1. การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กรมฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ภายใต้มาตรการ EV3 และ EV 3.5 เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งอนาคต โดยตั้งแต่มีการเริ่มมาตรการเมื่อเดือนมี.ค. 2565 จนถึงเดือนส.ค. 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 233,802 คัน และรถยนต์จักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสม จำนวน 71,667 คัน

2. ภาษีรถยนต์โบราณ (Classic Car) มีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์โบราณ คือ รถที่มีอายุเกิน 30 ปี โดยจัดเก็บในอัตรา 45% ซึ่งการนำเข้ารถยนต์โบราณจะไม่มีภาษีศุลกากร มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการจัดแสดงรถโบราณในภูมิภาค และส่งเสริมอุตสาหกรรมการบูรณะรถยนต์โบราณ คาดว่ามาตรการนี้จะขยายฐานรายได้ใหม่ และมีรายได้จากภาษีสรรพสามิตเฉพาะส่วนนี้เบื้องต้นประมาณ 1,000 – 2,000 ล้านบาท

3. การปรับโครงสร้างภาษีน้ำมันและกลไกราคาคาร์บอน โดยการสร้างกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยกำหนดราคาคาร์บอนที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอน เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065 นอกจากนี้ยังมีการปรับขึ้นภาษีน้ำมันกลุ่มเบนซินและดีเซล 1 บาทต่อลิตร ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีก แต่ทำให้จัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2,800 ล้านบาทต่อเดือน

4. ภาษีความหวาน (ระยะที่ 4) ได้ปรับขึ้นอัตราภาษีเครื่องดื่มความหวานในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสูงสุด โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2567 เพื่อสร้างแรงจูงใจให้อุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต ปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมายทางเลือกเพื่อสุขภาพ (Healthier Choice) จำนวน 3,411 ผลิตภัณฑ์

โดยกรมสรรพสามิตยังคงศึกษาผลกระทบของการจัดเก็บภาษีอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น รวมถึงอยู่ระหว่างการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องภาษีความเค็ม

5. การส่งเสริมสุราชุมชน มีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบเพื่อส่งเสริมผู้ผลิตสุราชุมชนรายกลางและรายย่อย โดยลดอุปสรรคในการบรรจุเพื่อส่งออก ซึ่งเป็นการเปิดช่องทางให้สามารถนำผลิตภัณฑ์ออกไปจำหน่ายนอกสถานที่ได้ การดำเนินการนี้มีส่วนช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในระดับฐานราก โดยมีผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นเป็น 1,824 ราย

6. อยู่ระหว่างศึกษาอัตราภาษีบุหรี่ โดยที่ผ่านมาได้มีการศึกษามาตรการภาษีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและมีความอ่อนไหว โดยในมาตรฐานสากลและเวทีต่างประเทศ ส่วนใหญ่อัตราภาษีบุหรี่จะเป็นอัตราเดียว (single rate) แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงใช้ภาษี 2 อัตรา 

ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องภาษีบุหรี่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้านในทุกมิติ โดยคำนึงถึงรายได้ที่ลดลง การกำกับดูแล หากมีการปรับปรุงอัตราภาษี มิติของการลักลอบนำเข้าบุหรี่ และผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ

นางสาวกุลยา กล่าวต่อว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้เพิ่มเติมในอนาคต กรมฯ ได้เตรียมการศึกษาเรื่องการหาแหล่งรายได้ใหม่ โดยเฉพาะการพิจารณายกเลิกการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีบางประเภทที่ดำเนินการอยู่ อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงภาษีจะต้องขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมและต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชน 

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตเป็นหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการคลัง ซึ่งมีบทบาทที่แตกต่างจากกรมอื่น เนื่องจากสามารถวางนโยบายและกำหนดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ประกอบการได้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ Smart Excise ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 5 ด้าน คือ ความยั่งยืน (Sustainability) ความทันสมัย (Modernization) ความรับผิดชอบ (Accountability) การจัดเก็บรายได้ (Revenue Collection) และเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology & Innovation)