ภาษีทรัมป์ฉุดอุตฯ พลาสติก–ปิโตรเคมี 2.4 ล้านล้าน ส.อ.ท. ชง 4 มาตรการแก้วิกฤติ

"อุตสาหกรรมปิโตรเคมี–พลาสติกไทย" สั่นคลอน ภาษีทรัมป์กดดันผู้ส่งออกไทยสูญเสียตลาด-เสียเปรียบคู่แข่ง "ส.อ.ท." ระบุมูลค่าอุตสาหกรรม 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 13% GDP เสี่ยง ชง 4 ข้อเสนอรัฐบาลใหม่ ดัน “เศรษฐกิจหมุนเวียน” เป็น New S-Curve รักษาฐานการผลิตของภูมิภาค
กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก และกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดโครงการ Econmass Talk Ep.1 #2025 ในหัวข้อ "อุตสาหกรรมพลาสติกไทย - ปิโตรเคมี ได้หรือเสีย...จากภาษีทรัมป์" โดยมี นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ นางภรณี กองอมรภิญโญ รองประธาน กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ นายเดชาธร ฐิสิฐสกร คณะทำงานสายงานเศรษฐกิจและการค้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ และนายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP Plastics ร่วมเวทีเสวนา
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนปัญหา และความท้าทายของผู้ประกอบการไทยจากผลกระทบมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าแบบต่างตอบแทนของสหรัฐ ที่สูงถึง 19% และร่วมกันหาแนวทางในการเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก โดยมีนางสาวดวงพร อุดมทิพย์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และคณะกรรมการสมาคม ร่วมให้การต้อนรับ
สำหรับสถานการณ์ของอุตสาหกรรมต้นน้ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมต่อเนื่องหลายประเภท ตั้งแต่ในผลิตภัณฑ์พลาสติกขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เวชภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในยุทธศาสตร์ S-Curve ของประเทศ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบ และเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มากถึง 10–25 เท่า ตลอดทั้งห่วงโซ่ (Value Chain) จนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์พลาสติกหลากหลายรูปแบบ สร้างมูลค่ารวม 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นประมาณ 13% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย (สถิติปี 2566) มีมูลค่าการส่งออกกว่า 5 แสนล้านบาท หรือ 5% ของการส่งออกทั้งหมด และสร้างงานมากกว่า 400,000 ตำแหน่ง สนับสนุน SME มากกว่า 3,000 ราย
ดังนั้น ด้วยสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จากมาตรการกีดกันทางการค้า และการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องรักษาความสมดุลให้เกิดขึ้นในภาคการผลิตปิโตรเคมี เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยเฉพาะการจัดหาวัตถุดิบที่ยั่งยืน ทั้งในรูปของปิโตรเลียม และการนำขยะพลาสติก กลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการรีไซเคิล ที่ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมทันสมัยมาพัฒนากระบวนการผลิต ให้สามารถผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพดีสำหรับรูปแบบการใช้งานต่างๆ ในบางการใช้งานที่ต้องการความสะอาด คุณภาพสามารถเทียบเท่ากับเม็ดพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ได้
ซึ่งมีการใช้งานแล้วหลายประเทศ โดยการส่งเสริมให้เกิดการใช้วัตถุดิบชนิดใหม่นี้ นอกจากเป็นการสร้างวงจรเศรษฐกิจใหม่แล้ว ยังเป็นการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อีกด้วย อย่างไรก็ดี ความสำเร็จต้องอาศัยภาครัฐช่วยส่งเสริมการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาวงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนพลาสติก และผลักดันการปรับปรุงกฎระเบียบให้เกิดการผลิต และใช้พลาสติกอย่างเข้าใจทั้งระบบ
นายฐิติธัม กล่าวว่า ในส่วนของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยกำลังเผชิญทั้งความท้าทายและโอกาสจากภาษีสหรัฐ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเชิงรุก ซึ่งการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งผลักดันให้ “อุตสาหกรรมรีไซเคิล” กลายเป็น New S-Curve ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
“ผลิตภัณฑ์พลาสติกไม่ใช่แค่ อุตสาหกรรมปลายทางแต่คือ โซลูชันที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตในทุกมิติ หากปิโตรเคมี และพลาสติกของไทยไม่แข็งแรง การพัฒนาอุตสาหกรรม S-Curve ของประเทศก็จะเดินต่อได้ยาก”
นายฐิติธัม กล่าวว่า มาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบด้านราคา สูญเสียส่วนแบ่งตลาด และต้นทุนการผลิตสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเกิด Trade Diversion จากประเทศอื่นที่หันมาระบายสินค้าในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทย ทำให้การแข่งขันด้านราคารุนแรงยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมีข้อดีบางด้าน เช่น การนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าบางรายการจากสหรัฐ ในราคาที่ต่ำลง แต่ผลเชิงบวกยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับผลกระทบที่เกิดขึ้น
“ภาษีทรัมป์ที่สูงถึง 19% กระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งในแง่ยอดขายที่ลดลง กำไรหดตัว และความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเม็กซิโก เวียดนาม และจีน ทั้งนี้ ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงต้องเร่งปรับตัว ทั้งการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต การกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว”
กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. ยังได้เตรียมเสนอภาครัฐเร่งออกมาตรการที่รองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ได้แก่ การเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ให้ชัดเจน และกับประเทศคู่ค้าใหม่เพื่อลดอุปสรรคภาษี และสร้างตลาดส่งออกเพิ่มเติม การสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน และการสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียนเต็มรูปแบบ
ในขณะเดียวกัน พิจารณาออกกฎหมายภาคบังคับเพื่อผลักดันการใช้พลาสติกรีไซเคิลที่ผลิตได้จากทรัพยากรหมุนเวียน ควบคู่กับการใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาด และคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ ซึ่งการดำเนินการตามข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนให้ Supply Chain ตลอดจนเสริมความมั่นคงให้เศรษฐกิจประเทศ
นางภรณี กล่าวว่า อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยคือ แรงกดดันจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทั้งจากความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี และความต้องการภายในประเทศ เช่น เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในสินค้า และองค์กร ซึ่งทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมพลาสติก กำลังผลักดันการผลิต และใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ เพื่อให้การใช้งานพลาสติกเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง หากทำได้สำเร็จ จะเป็น New S-Curve ของอุตสาหกรรมไทยในอนาคต
“การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุนทั้งฝั่งผู้ผลิต และผู้บริโภค เพื่อสร้างแรงจูงใจให้การใช้พลาสติกรีไซเคิลเกิดขึ้น ซึ่งเม็ดพลาสติกรีไซเคิลยังมีต้นทุนสูง จึงจำเป็นต้องอาศัยมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งด้านการลงทุน เทคโนโลยี และแรงจูงใจแก่ผู้ผลิต และผู้บริโภคด้วย สำหรับภาคเอกชนได้เริ่มการพัฒนาทั้งเชิงโครงสร้างพื้นฐาน และการทดลองโมเดลการบริหารจัดการต่างๆ ภายใต้สมาคม PPP Plastics เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกตามโรดแมปการจัดการขยะพลาสติกของประเทศแล้ว”
สำหรับความท้าทายจากภาษีสหรัฐ ทั้ง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมเห็นตรงกันว่า ผู้ประกอบการไทย เสียเปรียบด้านราคา มีแนวโน้มสูญเสียตลาด ภาคเอกชนไทยต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีจุดเด่น (Product Differentiation) เน้นคุณภาพ และบริการที่เหนือกว่า เพิ่มนวัตกรรมด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (Brand Image) ที่ดีในตลาดโลก รวมถึงการมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การร่วมทุนหรือการร่วมมือทางเทคโนโลยี
ทั้งนี้ ทั้ง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมได้ยื่นข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1. ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน 2. ปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านภาษี ช่วยลดต้นทุนการแข่งขันในตลาดโลก 3.ปกป้องตลาดจากการทุ่มตลาดเพื่อรักษาความเป็นธรรมในการแข่งขัน และ 4. สร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่ด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกครบวงจร แม้ว่าไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐ และการแข่งขันที่เข้มข้น แต่ยังคงเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีที่สำคัญของภูมิภาค ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม และคุณภาพสินค้าที่เชื่อถือได้ ทำให้ไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขัน และดึงดูดความเชื่อมั่นจากตลาดโลก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







