“วรภัค” ชี้โจทย์ใหญ่รัฐบาลหนี้ท่วม ต้องเร่งปฏิรูป เพิ่ม VAT ปรับสู่สมดุลการคลัง

“วรภัค” ชี้โจทย์ใหญ่รัฐบาลหนี้ท่วม ต้องเร่งปฏิรูป เพิ่ม VAT ปรับสู่สมดุลการคลัง

"วรภัค" ชี้สถานะการคลังไทยหลังโควิด-19 อยู่ในภาวะเปราะบาง ระดับความเสี่ยงสูง ต้องเร่งปฏิรูปเชิงรุก คุมรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างสมดุลการคลัง รับมือกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวถึงสถานการณ์การคลังของประเทศ โดยระบุว่ารัฐบาลใหม่กำลังเผชิญกับโจทย์ที่ซับซ้อนและมี "พื้นที่หายใจ" (Fiscal Space) จำกัดอย่างมาก จากแรงกดดันรอบด้าน ทั้งหนี้สาธารณะที่ใกล้แตะ 65% ต่อ GDP โครงสร้างรายได้ที่อ่อนแอ และภาระรายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นไม่หยุด

ดังนั้น แนวทางแก้ปัญหาที่ต้องทำอย่างครบวงจร เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการคลังในระยะยาว ดังนี้

1.ควบคุมรายจ่ายประจำและสวัสดิการ จำกัดการเติบโตของรายจ่ายที่มีภาระผูกพันระยะยาว เช่น เงินเดือนข้าราชการ บำเหน็จบำนาญ และสวัสดิการรักษาพยาบาล เพื่อชะลอการขยายตัวของงบประมาณประจำปี และเปิดพื้นที่ให้กับงบประมาณเพื่อการลงทุนและการพัฒนาประเทศมากขึ้น

2.ปฏิรูปโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ ยกเครื่องโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของประเทศให้มีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากขึ้น ผ่านการปฏิรูปภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีที่เกี่ยวข้องกับทุน, พิจารณาปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อย่างเหมาะสมให้ทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาค และริเริ่มการจัดเก็บภาษีใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับทิศทางของโลก เช่น ภาษีคาร์บอน

3.เสริมสร้างวินัยการคลังผ่านกฎหมาย ใช้ PAYGO วางกรอบการใช้จ่ายงบประมาณที่รัดกุมและโปร่งใส กำหนดนิยามรายจ่ายลงทุนให้ชัดเจน พร้อมตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการกลับเข้าสู่กรอบการขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 3% ของ GDP เมื่อสภาวะเศรษฐกิจเอื้ออำนวย

นายวรภัค ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่การคลังที่เหลืออยู่ไม่มาก หากมี "ตัวจุดชนวน" (Downside Triggers) ก็อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว เช่น

หาก เศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมกับ ดอกเบี้ยโลกสูงต่อเนื่อง อาจทำให้อัตราส่วนหนี้ทะลุกรอบเร็วกว่าที่คาด

หาก การปฏิรูปโครงสร้างภาษีไม่เกิดขึ้นจริง เสถียรภาพหนี้สินของประเทศจะทรุดลงอย่างต่อเนื่อง

หากเกิด Shock จากภายนอก เช่น ราคาพลังงานพุ่งสูง หรือภัยพิบัติรุนแรง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่องบประมาณของประเทศทันที

นายวรภัค ชี้เพิ่มเติมว่า รัฐบาลใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจาก “กระดาษขาว” แต่จาก baseline ที่เต็มไปด้วย แรงกดดันเชิงโครงสร้างทางการคลังทุกด้าน ทั้งหนี้ รายได้ รายจ่าย และโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม ซึ่งกำลังบีบให้ fiscal space ของไทยแคบลงเรื่อยๆ หากไม่ปฏิรูปเชิงรุก ความเสี่ยงจะทวีคูณ และ downside triggers สามารถถูกจุดติดได้จากทั้งในและนอกประเทศ

นายวรภัคทิ้งท้ายว่า โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลไม่ใช่แค่การ “เลือกใช้นโยบาย” แต่คือการกล้าเผชิญความจริง เพราะการเพิกเฉยต่อปัญหาในวันนี้ จะทำให้ Baseline ที่ท้าทายกลายเป็นกับดักที่กัดกร่อนเสถียรภาพของประเทศในระยะยาว