7 ข้อคิด ‘ม.ล.ดิศปนัดดา’ ธุรกิจยุคใหม่ต้องยึดหลัก Total Wellbeing

7 ข้อคิด ‘ม.ล.ดิศปนัดดา’ จากเวที MFLF 2025 ธุรกิจยุคใหม่ต้องยึด ‘Total Wellbeing’ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที “MFLF Sustainability Forum 2025” ชวนทุกภาคส่วน
KEY
POINTS
- 7 ข้อคิด ‘ม.ล.ดิศปนัดดา’ จากเวที MFLF 2025 ธุรกิจยุคใหม่ต้องยึด ‘Total Wellbeing’
- หนุนลงทุนด้าน Nature Credit ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือแบบรูปธรรม มองผลกระทบระยะยาวข้ามรุ่น
- ปรับกฎกติกาใหม่ให้เอื้อต่อการพัฒนา ใช้ศักยภาพเกษตรไทยสร้างรายได้ และหาทางออกใหม่แทนการแก้ปัญหาแบบเดิม
- สร้างสมดุลกำไร-ความยั่งยืน และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวพ้นวิกฤติ
ในภาวะที่โลกเผชิญความท้าทายจากภาวะวิกฤติซ้อนวิกฤติ ที่มาจากปัญหาที่มีความซับซ้อน ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่ต้องการทางออกและข้อเสนอใหม่จากการระดมความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนในการแก้ไข คลี่คลายวิกฤติให้บรรเทา หรือผ่านพ้นลงไปได้
เมื่อเร็วๆนี้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงา“MFLF Sustainability Forum 2025” ภายใต้แนวคิด“วิกฤตโลก ทางออกไทย” หม่อมหลวง ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิฯ ตลอดจนผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568
โดยเวทีครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่ระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็น ทั้งความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก ผ่านการผสานความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน
ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้กล่าวถึงข้อสรุปของการจัดงานใน 7 ประเด็นสำคัญที่เชื่อมโยงภาคธุรกิจกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีสาระสำคัญดังนี้
1.การทำธุรกิจในวันนี้เราไม่สามารถใช้รูปแบบเดิมที่เป็นรูปแบบปกติ (business as usual) ที่เล็งเห็นถึงผลกำไรแต่อย่างเดียวได้อีกแล้ว แต่ต้องใช้วิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้ง และแนวคิดความผาสุกโดยรวม (Total Wellbeing) ที่ในการดำเนินงานไม่ควรทำแค่ให้ได้ตามเกณฑ์เท่านั้น โดยคำว่า "Total Wellbeing" นั้นรวมถึงธรรมชาติอยู่ในสมการความยั่งยืนด้วย
2.โอกาสและการลงทุน ในวันนี้เราจะต้องพร้อมที่จะคว้าโอกาสจากปัญหาที่มีอยู่ และลุกขึ้นมาลงทุนด้าน Nature Credit ผ่านกลไกตลาด และงบประมาณ โดยที่ผ่านมาได้มีการกล่าวถึงเรื่องของกลไกงบประมาณที่มีอยู่แล้ว และความไม่เพียงพอของโครงการและงบประมาณที่ต้องได้รับการแก้ไข ขณะที่กลไกในด้านการตลาดจะช่วยผลักดันให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น
3.ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงมาจากความร่วมมือทำให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเห็นได้จากตัวอย่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯที่ทำร่วมกับบริษัทเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ปัจจุบันมีโครงการเฟสที่ 1 ออกมาแล้ว สามารถส่งมอบคาร์บอนเครดิตให้กับภาคเอกชน 7 องค์กร รวมกว่า 4.3 หมื่นตัน สูงกว่าเป้าหมายถึง 4 เท่า และจะมีการเดินหน้าความร่วมมือกับภาคเอกชนในโครงการเฟส 2 และเฟส 3 ในปีถัดๆ ไป
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะมูลนิธิฯ แต่เกิดขึ้นเพราะทุกท่านให้ความสำคัญกับปัญหาของประเทศ และเชื่อมั่นว่านี่คือหนึ่งในทางออกที่ทุกคนสามารถทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างแท้จริง” ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว
4.เราจำเป็นต้องหาคำจำกัดความใหม่ของคำว่า “ระยะยาว” โดยนิยามใหม่ คือการมองในระยะยาวมาก ที่ไม่ใช่การมองแค่ 10 ปี หรือ 15 ปี แต่ต้องใช้คำว่า "transgenerational" หรือ มองกันข้ามรุ่น เพราะผู้รับผลกระทบ จากปัญหาที่คนรุ่นปัจจุบันหรือในอดีตสร้างขึ้นนั้นคนที่จะได้รับผลกระทบไม่ใช่คนรุ่นเรา แต่จะเป็นคนรุ่นหลังเรา หากมุมมองไม่ยาวพอ ก็จะไม่มีแผนที่จะไปให้ถึงวันนั้น และจะมองแผนแค่ 5 ปี 10 ปีไม่ได้ เพราะปัญหาจริง ๆ อาจต้องเจอในระยะ 30 - 50 ปีข้างหน้า
ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจ และความยั่งยืน จึงเป็นเรื่องเดียวกัน กำไรและความสมดุลจึงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต้องมีการหาสมดุลใหม่ว่าเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ รวมทั้งต้องมีการแก้ไขความเสี่ยง และแก้ปัญหาที่กำลังคืบคลานเข้ามา ซึ่งรวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่สูงขึ้นต่อประสิทธิภาพ และสุขภาพอนามัยของพวกเราควบคู่กันไปด้วย
5.กลไกการขับเคลื่อนที่เหมาะสม การขับเคลื่อนสิ่งนี้จะเกิดขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะกฎกติกาใหม่ และบทบาทของภาคส่วนต่างๆในอดีตอาจไม่เอื้อให้เกิดความยั่งยืน ต้องมีการหากฎกติกาใหม่ที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงเช่น สิทธิในการจัดการพื้นที่ ยกตัวอย่างว่า หากต้องการปลูกป่า แต่คนที่อยู่บนภูเขาหรือบนดอนยังไม่มีสิทธิในการจัดการพื้นที่ทางของเขาเอง การพิจารณากฎกติกาเหล่านี้ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มองให้เห็นถึงผลกระทบและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนการป้องกันการครอบงำต้องพิจารณาว่าจะทำอย่างไรที่จะไม่ให้ธุรกิจเข้าไปครอบงำการพัฒนา ที่ตั้งใจจะให้เกิดกับชุมชน
6.ศักยภาพของภาคเกษตรไทยมีศักยภาพสูงมากในการเติบโต ภาคเกษตรเป็นหนึ่งในไม่กี่ Sector ที่เราสามารถควบคุมได้ตลอดสายโซ่อุปทาน (supply chain) หากเราสามารถเข้าไปปรับเรื่องประสิทธิภาพ ปลดล็อคเรื่องของต้นทุนน้ำ ต้นทุนดิน ส่งเสริมการวิจัยและการผลิตอย่างจริงจังเรื่องของการแปรรูป และเริ่มผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ ความต้องการป้องกันของโลกมากขึ้น มีความเชื่อมั่นว่าสามารถเพิ่มจีดีพีของประเทศได้ โดยที่สามารถสร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชนได้ด้วย
และ 7.ข้อสุดท้าย ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าวว่าเดิมพันของเราสูงมาก เราจะใช้วิธีการเดิมๆในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้อีกแล้ว ทุกคนต้องกลับไปทบทวนและลุกขึ้นมาหาแนวทางในการดำเนินงานของผู้คนใหม่เพื่อแก้ปัญหาและสร้างโอกาสได้อย่างไร
“วันนี้เราคงต้องมาช่างน้ำหนักกันว่าทางเลือกในสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ cause of action ถ้าทำจะส่งผลอย่างไร กับ cause of inaction ถ้าไม่ทำจะส่งผลอย่างไรบ้างในอนาตค” ม.ล.ดิศปนัดดา กล่าว







