รู้จักกระแส ‘Glocalization’ ธุรกิจปรับตัวรับวิกฤติซ้อนวิกฤติ

โลกกำลังเผชิญยุค “Poly-crisis” ที่ความไม่แน่นอนถาโถมรอบด้าน ตั้งแต่วิกฤติห่วงโซ่อุปทาน ภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้กระแส “Glocalization”
KEY
POINTS
- โลกกำลังเผชิญยุค “Poly-crisis” ที่ความไม่แน่นอนถาโถมรอบด้าน
- ภาคธุรกิจเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ ห่วงโซ่อุปทาน ภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- กระแส “Glocalization” ถูกพูดถึงมากขึ้น และธุรกิจให้ความสนใจ
- โดยการปรับสินค้าและบริการให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น ซึ่งกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจไทยในการยกระดับผลิตภาพ เสริมภูมิคุ้มกันความเสี่ยง และขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน
ในยุคปัจจุบันโลกกำลังเผชิญยุค “Poly-crisis” ที่ความไม่แน่นอนถาโถมรอบด้าน ตั้งแต่วิกฤติห่วงโซ่อุปทาน ภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้กระแส “Glocalization” การปรับสินค้าและบริการให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น กลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจไทยในการยกระดับผลิตภาพ เสริมภูมิคุ้มกันความเสี่ยง และขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน
เมื่อเร็วๆนี้ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย จัดงานสัมมนา KPMG Business Leaders’ Summit ประจำปี ภายใต้หัวข้อ “Navigating Uncertainty: Turning Challenges into Opportunities”
นายเจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เมียนมา และลาว กล่าวว่าปัจจุบันอยู่ในยุคที่โลกเผชิญภาวะ “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” หรือ “Poly-crisis” ที่ความไม่แน่นอนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในด้านห่วงโซ่อุปทานโลก ธุรกิจต้องรับมือกับภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม
โลกเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติ
ปัจจัยต่างๆทำให้เกิดกระแส “Glocalization” หรือการปรับผลิตภัณฑ์หรือบริการระดับโลกให้สอดคล้องกับบริทบทท้องถิ่นจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นนอกเหนือจากความขัดแย้งด้านการค้าและเทคโนโลยีที่ดำเนินอยู่ อุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังต้องเผชิญกับกับประเด็นการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การย้ายฐานผลิตกลับประเทศ (Reshoring) การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Decoupling) และความกังวลเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
ขณะเดียวกันการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วไปสู่ยุค 4.0 และ 5.0 ซึ่ง AI ได้เข้ามาแทนที่มนุษย์ในการทำงานบางประเภท ก็กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมและดึงดูดเงินทุนไปยังธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังผลักดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการกระจายไปยังตลาดใหม่ ๆ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็กดดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศระดับโลก
แนะธุรกิจใช้ AI ช่วยบริหารความเสี่ยง
เขากล่าวด้วยว่าเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ธุรกิจไทยควรเสริมความแข็งแกร่งในสามด้านหลัก ได้แก่ ผลิตภาพ การบริหารความเสี่ยง และความยั่งยืน ผลิตภาพสามารถยกระดับได้ผ่านการผลิตอัจฉริยะ (smart manufacturing) และการใช้ AI ขับเคลื่อนการผลิต ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีขั้นสูงให้แก่บุคลากร การบริหารความเสี่ยงต้องอาศัยการกระจายตลาด การสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทาน และการยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์
ส่วนด้านความยั่งยืน ควรมุ่งไปที่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน การใช้พลังงานหมุนเวียน และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
"สำหรับประเทศไทยสิ่งนี้ทำให้เกิดความจำเป็นในการปรับฐานอุตสาหกรรม จากการรับจ้างผลิตให้ผู้อื่น (Original Equipment Manufacturer: OEM) ไปสู่การรับจ้างออกแบบและผลิต (Original Design Manufacturer: ODM) และการผลิตภายใต้แบรนด์ของตนเอง (Original Brand Manufacturer: OBM)"
รวมถึงการผลิตที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากไปสู่ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และการดำเนินธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วย ไปสู่การดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, social and governance: ESG) และโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) มากขึ้น
ชี้ภาษีสหรัฐ 19% ไม่กระทบเศรษฐกิจไทยมาก
นอกจากนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่ซับซ้อน ควบคู่กับการรับมือกับผลกระทบจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยประเทศไทยสามารถเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ได้ที่ระดับ 19% ซึ่งยังคงรักษาความสามารถในแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน
อย่างไรก็ตามด้วยข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และข้อยกเว้นทางการค้าต่าง ๆ ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริงอาจแตกต่างจากตัวเลขที่ประกาศไว้ ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ประเมินว่าความตึงเครียดทางการค้าปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศไทยเพียงเล็กน้อยที่ 0.3%
สิ่งสำคัญคือการที่ธุรกิจควรตระหนักว่าดุลการค้าที่ติดลบไม่ได้หมายถึงการสูญเสียทางเศรษฐกิจเสมอไป การนำเข้าสินค้าก็ไม่ได้เป็นการเสียประโยชน์อย่างแท้จริง สำหรับเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างประเทศไทยนั้น การตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ไม่ใช่กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ตรงกันข้าม การคงอัตราภาษีให้อยู่ในระดับต่ำจะช่วยลดต้นทุนโดยรวมตลอดทั้งเศรษฐกิจ และเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคโดยตรง
ข้อตกลงทางการค้าที่ผ่านมาได้สร้างประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้แก่ประเทศไทย การยกเลิกโควตาการนำเข้ากาแฟและถั่วเหลืองช่วยเปิดโอกาสให้กับธุรกิจไทยด้วยการลดอุปสรรคทางการค้าและลดต้นทุนนำเข้า ทำให้ธุรกิจสามารถจัดหาวัตถุดิบได้ในราคาที่แข่งขันได้ นอกจากนี้มาตรการเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการศุลกากรและการเปิดเสรีด้านบริการโทรคมนาคม ยังมีแนวโน้มจะสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคในวงกว้าง
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นกับสินค้านำเข้า เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างมาตรการควบคุมคุณภาพ การป้องกันการลักลอบนำเข้า และการยกระดับมาตรฐานสินค้า มาตรการเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดมีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม พร้อมทั้งคุ้มครองผู้บริโภคและธุรกิจที่ดำเนินการอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญคือการการเจรจา FTA ฉบับใหม่เพื่อกระจายตลาดส่งออก เสริมสร้างการค้าภายในอาเซียน และลงทุนในนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว







