‘แม่ฟ้าหลวงฯ’ ชี้สารพิษในแม่น้ำกก กระทบเศรษฐกิจ ปีละ 1,300 ล้าน

‘แม่ฟ้าหลวงฯ’ ชี้สารพิษในแม่น้ำกก กระทบเศรษฐกิจ ปีละ 1,300 ล้าน

ผู้เชี่ยวชาญ nature-based solution มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยกปัญหาโลหะหนักในแม่น้ำกก สะเทือนเศรษฐกิจ - ชุมชน เสียหายสูงถึง 1,300 ล้าน วิถีชีวิตคนในพื้นที่ได้รับผลกระทบหนัก

จากกรณีที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมเเละควบคุมมลพิษที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำกก พื้นที่อำเภอแม่อาย พบการปนเปื้อนโลหะหนัก ทั้งตะกั่วและสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐาน โดยแหล่งที่มาของการปนเปื้อนตะกั่วในแหล่ง คาดว่ามีสาเหตุมาจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน และเหมืองแร่ ส่วนสารหนูนั้น คาดว่ามาจากการปล่อยน้ำทิ้งที่มีส่วนผสมของยากำจัดศัตรูพืช นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ถึงอีกหนึ่งสาเหตุ คือการทำเหมืองแร่ในบริเวณต้นน้ำ โดยเฉพาะเหมืองแร่ทองคำบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ ซึ่งได้ทำให้แหล่งต้นน้ำได้แก่ แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำกก เกิดการปนเปื้อนและไหลลงสู่แม่น้ำโขงนั้น

ดร.สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน nature-based solution จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2568 ว่าจากงานวิจัยของ “Lanner” สื่อท้องถิ่นที่ทำงานวิจัยและนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับสังคมล้านนาได้ระบุว่าปริมาณค่าความเสียหายที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจากปัญหาการปนเปื้อนของโลหะหนัก และสารพิษที่เกิดขึ้นกับชุมชนในรอบพื้นที่ 20 ตำบลของแม่น้ำกก จ.เชียงรายนั้นคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 511 ล้านบาท และหากรวมความเสียหายในภาคอื่น ๆ เช่น ภาคการประมงและการท่องเที่ยวเข้าไปด้วย ก็อาจมากถึง 1,300 ล้านบาทต่อปี

ดร.สุภัชญา ได้ให้ความเห็นว่าเราควรจะต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบของอุตสาหกรรมต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงนั้นเกิดจากการปล่อยละเลยปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม มีการปล่อยสารเคมีและน้ำเสียออกจากแหล่งอุตสากรรม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อแหล่งน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตและผลประกอบการในระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลเสียในระยะยาว ซึ่งสิ่งนี้ได้ลุกลามและก่อให้เกิดผลเสียต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง และกระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชน ชาวบ้านอย่างมาก เหมือนกับคำกล่าวที่ว่าเงินทองคือมายา ข้าวปลาสิของจริง เพราะเรื่องที่เกิดกับชาวบ้านในพื้นที่นั้นถือว่ากระทบกับทั้งแหล่งปลูกข้าว และอาชีพหาปลา ที่เป็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่อย่างมาก

 “ในวันนี้หากเราต้องเลือกระหว่างต้มยำปลานิลกับต้มยำปลาน้ำโขง เราก็คงเลือกปลานิล เพราะเราเลือกได้แล้วเราก็คิดว่าชีวิตมีค่ามากกว่าจะเอาไปเสี่ยงกับอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ แต่คนที่อยู่ในชุมชนริมน้ำโขงเหล่านั้นอาจจะไม่มีทางเลือกมากนักในการดำรงชีวิตหรือเลี้ยงชีพ เขายังต้องใช้น้ำจากน้ำโขงในการดื่มกิน ปลูกข้าว เลี้ยงปลา หากในอนาคตเราทราบว่าผลผลิตทางการเกษตร หรือเนื้อสัตว์ที่เราทานมาจากแหล่งน้ำที่ปนเปื้อนเราเหล่านั้นก็คงจะไม่สบายใจเช่นกัน”

ดร.สุภัชญา กล่าวต่อว่าในปัจจุบัน เรากำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ  จนเราไม่รู้สึกตัว อย่างการเพิ่มขึ้นของอุณหูมิที่จะค่อย ๆ  ส่งผลเสียต่อผลผลิตในระยะยาว เช่นล่าสุดคือ ผลผลิตจากสัปปะรดไม่เพียงพอ เพราะดอกสัปปะรดจะบานเร็วขึ้นและส่งผลต่อคุณภาพของสัปปะรด ทำให้โรงงานสัปปะรดปิดกิจการเพราะผู้ประกอบการไม่รู้ว่าจะคาดการณ์ผลผลิตที่จะเข้าสู่โรงงานได้อย่างไร

ในปัจจุบันเรื่องสิ่งแวดล้อมได้ถูกรวมเข้าไปเป็นปัญหาร่วมกันของหลายภาคส่วน อย่างเช่นในอเมริกา เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์เปิดให้มีการสัมปทานป่าไม้มากขึ้น และนำสหรัฐออกจากสนธิสัญญาปารีส ก็ได้สร้างแรงกดดันภายในประเทศให้เกิดขึ้นผ่านการประท้วง และการรณรงค์ในหัวข้อ “คนสร้างมลพิษต้องจ่าย” (make polluter pay) เพื่อเรียกร้องให้มีการนำเงินกลับไปช่วยดูแลในภาคสิ่งแวดล้อม ส่วนประเทศจีนเอง ก็หันมาสนับสนุนเงินทุนด้านความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น ปรับปรุงปัจจัยการผลิต ทำให้ความยั่งยืนไปต่อได้

แต่สำหรับประเทศไทย เมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศที่ค่อนข้างมากแล้ว เรายังลงทุนในภาคการพัฒนาอย่างยั่งยืนในส่วนนี้น้อยมาก นอกจากนี้พื้นที่และต้นทุนทางธรรมชาติของเรานับวันก็ยิ่งร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ

ดร.สุภัชญา ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า นับตั้งแต่ปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา รายได้ต่อหัวเฉลี่ยของทั้งโลกเพิ่มขึ้น 13% ในขณะที่ต้นทุนทางธรรมชาติที่เราเอาไปแลกกลับลดลงถึง 40% หากเราต้องการให้มีอะไรเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เพราะราคาของการไม่ทำอะไร คือวันไหนที่ปัญหามาถึง วันนั้นเราอาจจะรับมือกับมันไม่ไหว