โลกร้อนฉุด 'GDP โลก' 18 ล้านล้านดอลล์ แบงก์เร่งเป้าสินเชื่อสีเขียว

งาน MFLF2025 เปิดเผยผลศึกษาวิกฤติโลกร้อนต่อเศรษฐกิจไทย กสิกรไทยเผยในปี 2050 หากโลกร้อนเกิน 1.5 องศา กระทบGDP โลก 18% ไทยเสี่ยงรับผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง 44% ของ GDP
KEY
POINTS
- "มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง" เปิดเวทีวิกฤติโลก : ทางออกไทย ในงาน MFLF2025 เปิดเผยผลศึกษาวิกฤติโลกร้อนต่อเศรษฐกิจไทย
- โดยกสิกรเผยในปี 2050 หากโลกร้อนเกิน 1.5 องศา กระทบจีดีโลก 18% สูงกว่าช่วงโควิด-19 6 เท่า ไทยเสี่ยงรับผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง 44% ของ GDP และกระทบส่งออก 45%
- เผยพร้อมใช้กลไกการเงินเพิ่มเป้าการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าที่กลุ่ม Green & Sustainable จาก 2 แสนล้านบาท เป็น 5 แสนล้าน ภายในปี 2030
- มองตลาดสินเชื่อกรีนทั่วโลกโตอีก 4-5 เท่า จากปัจจุบัน 1.9 ล้านล้านบาท
วันนี้ (22 ก.ย.2568) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน MLF Sustainable Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ โดยในเวทีเสวนาหัวข้อ “วิกฤติโลก ทางออกไทย” ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
ดร.กรินทร์ กล่าวว่า ผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Climate Change) จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของโลก และประเทศต่างๆ อย่างมาก จากงานวิจัยล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) พบว่าหากอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเพิ่มขึ้น 3.2% ในปี 2050 จะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากถึง 18 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 18% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของโลก ซึ่งถือว่าเป็นความเสียหายที่มากกว่าในช่วงที่เกิดโควิด-19 ระบาดในปี 2020 – 2022 มากถึง 6 เท่า
โดยในส่วนของประเทศไทยจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 44% ของจีดีพี ขณะที่ภาคการส่งออกจะกระทบประมาณ 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือกระทบประมาณ 45% ของมูลค่าการส่งออก ซึ่งความเสียหายในระดับนี้เป็นมูลค่าที่มหาศาลซึ่งยากที่จะมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจขึ้นมาได้
ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายจาก ภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ทำให้มีการพูดถึงเครื่องมือทางการเงินที่จะเข้ามาใช้ในการแก้ปัญหานี้โดยภาคธนาคารทั่วโลกถือว่ามีส่วนสำคัญ โดยได้มีการใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดการปล่อยคาร์บอน หรือให้สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยในปี 2023 นั้นทั่วโลก มีการจัดสรรเงินทุนระดับโลกที่จัดสรรเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global climate finance) ไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (mitigation) หรือการปรับตัวเพื่อรับผลกระทบ (adaptation) ในวงเงินถึงประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 1.7% ของจีดีพีโลก
อย่างไรก็ตามในส่วนนี้คาดว่าทั่วโลกจะมีวงเงินที่จัดสรรมาให้กับ Global climate finance จะเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยคาดว่าในปี 2030 วงเงินส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 – 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 – 3 เท่า ขณะที่ในปี 2031 – 2050 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 – 9.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 – 5 เท่าจากในปัจจุบัน
ทั้งนี้คาดว่าเม็ดเงินที่จะถูกใช้ไปในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจากช่วงปี 2023 ที่เงินทุนกว่า 72% ไปลงทุนในส่วนของภาคพลังงาน และการขนส่ง (energy and transportation) ไปสู่การปล่อยสินเชื่อ และลงทุนในส่วนของการลดคาร์บอนจากภาคการผลิต จากเทรนด์ความต้องการ การสนับสนุนทางการเงินเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน และการสร้างความยั่งยืนดังกล่าวนี้ทำให้กสิกรไทยมีการเพิ่มสัดส่วนการออกสินเชื่อในส่วนที่เป็น Sustainable Finance & Investment จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 2 แสนล้านบาทในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท เนื่องจากมีความต้องการจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







