ราคาข้าวยังร่วงต่อเซ่นสต๊อกท่วมโลก ซ้ำปัจจัยผลผลิตสูงเป็นประวัติการณ์

ราคาข้าวยังร่วงต่อเซ่นสต๊อกท่วมโลก  ซ้ำปัจจัยผลผลิตสูงเป็นประวัติการณ์

ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปี 2568/69 จะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนพ.ย. 2568 ปริมาณรวม 17.375 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเปน 63.82% ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด

นับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของการบริหารจัดการข้าวของประเทศไทยเนื่องจากปริมาณข้าวจำนวนมหาศาลในประเทศกำลังจะออกสู่ตลาดพร้อมกัน 

ขณะที่ กระทรวงเกษตรของสหรัฐเผยแพร่รายงาน Rice Outlook: September 2025 โดยปรับลดคาดการณ์ผลผลิตทั่วโลกสำหรับปี 2568/69 ว่ายังมีปริมาณผลผลิตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากคาดการณ์ผลผลิตข้าวทั่วโลกในปี 2568/69 จะอยู่ที่ 541.1 ล้านตัน สูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 0.1 ล้านตัน และเป็นผลผลิตข้าวที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ 

ในเดือนก.ย.นี้ ประเมินว่า ผลผลิตที่ออสเตรเลีย รัสเซีย และเวียดนามจะลดลง แต่ผลผลิตจะไปเพิ่มขึ้นที่คาซัคสถานและสหรัฐ ดังนั้น ประมาณการผลผลิตทั่วโลกสำหรับปี 2567/68 จึงเพิ่มขึ้น 0.1 ล้านตัน เป็น 540.9 ล้านตัน ซึ่งเป็นผลผลิตข้าวที่มากที่สุดอันดับสองในช่วงประวัติการณ์ที่ผ่านมา เนื่องจากการปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิตสำหรับบราซิล โคลอมเบีย และสาธารณรัฐโดมินิกัน ชดเชยการลดลงของผลผลิตสำหรับเวียดนามได้มากกว่า

ทั้งนี้ หากเทียบเป็นรายปี คาดว่าผลผลิตข้าวทั่วโลกในปี 2568/2569 จะสูงกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นในประเทศผู้ผลิตรายใหญ่หลายราย ได้แก่ บังกลาเทศ จีน และอินเดีย ชดเชยผลผลิตข้าวที่มีขนาดเล็กกว่าอย่างในบราซิล กัมพูชา อินโดนีเซีย ไนจีเรีย ไทย สหรัฐ และเวียดนามได้มากกว่า โดยมีอินเดียและจีนเป็นสองประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุด มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวทั่วโลก

“คาดการณ์ว่าอุปทานข้าวทั่วโลกในปี 2568/69 จะอยู่ที่ 729.5 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด เพิ่มขึ้น 0.8 ล้านตันจากการคาดการณ์ครั้งก่อน และเป็นปีที่สามติดต่อกันที่ปริมาณข้าวเพิ่มขึ้น การปรับเพิ่มปริมาณข้าวทั่วโลกส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปริมาณข้าวสำรองเริ่มต้นที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพม่า โคลอมเบีย อินเดีย ปากีสถาน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมากกว่าปริมาณข้าวสำรองที่ลดลงในเวียดนาม”

ด้าน การคาดการณ์การบริโภคข้าวทั่วโลกในปี 2568/69 ที่ทำสถิติสูงสุด ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากการบริโภคข้าวที่คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ในหลายประเทศผู้บริโภคข้าวรายใหญ่ ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม

คาดการณ์ว่าปริมาณข้าวคงเหลือทั่วโลกในปี 2568/69 จะอยู่ที่ 187.3 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.6 ล้านตันจากการคาดการณ์ครั้งก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าปีก่อนหน้า 1.1 ล้านตัน ส่วนใหญ่อยู่ในจีนและอินเดียมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 80 %ของสต๊อกสุดท้ายทั่วโลก เป็นผลมาจากนโยบายคงคลังของรัฐบาล

รายงานยังระบุถึง การค้าข้าวโลกในปี 2569 ยังคงคาดการณ์ว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านตันจากปี 2568  โดยการค้าข้าวโลกในปีปฏิทิน 2569 จะอยู่ที่ 62.1 ล้านตัน (ข้าวสาร) เนื่องจากการคาดการณ์การส่งออกข้าวที่เพิ่มขึ้นของพม่าที่ประมาณการการส่งออกข้าวในปี 2569 จาก 400,000 ตัน เป็น 2.2 ล้านตัน โดยอิงจากการปรับเพิ่มประมาณการการส่งออกข้าวในปี 2568 จาก 200,000 ตัน เป็น 2.1 ล้านตัน เนื่องจากอัตราการขนส่งข้าวหักที่มีราคาที่แข่งขันได้ไปยังตลาดหลัก ซึ่งส่วนใหญ่คือจีน 

ทำให้ต้องปรับลดคาดการณ์การส่งออกของปากีสถานลง 100,000 ตัน เหลือ 5.2 ล้านตัน เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดแอฟริกาและเอเชีย ส่วนสหรัฐ ปรับลดคาดการณ์การส่งออกลง 100,000 ตัน เหลือ 3.0 ล้านตัน

ในส่วนของการนำเข้าข้าวทั่วโลกในปี พ.ศ. 2569 คาดการณ์ ณ เดือนก.ย.นี้การนำเข้าข้าวมาดากัสการ์ ที่พบการบริโภคเพิ่มขึ้น จากยอดนำเข้าที่เพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกปี2568  และออสเตรเลีย จากการคาดการณ์ผลผลิตข้าวที่ลดลง ส่วนประเทศอื่นๆ หลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน เบนิน และคาซัคสถาน ปรับลดคาดการณ์ลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

      ส่วนสถานการณ์ราคาข้าวพบว่า สหรัฐและประเทศผู้ส่งออกส่วนใหญ่ในเอเชียและอเมริกาใต้  ช่วงสัปดาห์ล่าสุด( 9  ก.ย.  2568) ราคาข้าวเปลือก 4% อันดับ 2 ของสหรัฐ สำหรับตลาดละตินอเมริกา ลดลง 45 ดอลลาร์ต่อตัน จากสัปดาห์ก่อนหน้า (5 ส.ค.) มาอยู่ที่ 595 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันจากการเก็บเกี่ยว"

 ราคาข้าวเปลือก 5% ของอินเดีย ลดลง 5 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 380 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการทั่วโลกที่ลดลง ราคาข้าวหัก 5% ของเวียดนามลดลง 18 ดอลลาร์ต่อตัน มาอยู่ที่ 382 ดอลลาร์ หลังจากที่ฟิลิปปินส์ประกาศห้ามนำเข้าข้าวเป็นเวลา 60 วัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. การห้ามดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาข้าวเปลือกภายในประเทศที่ตกต่ำ  ราคาข้าวเปลือกปากีสถานยังคงที่ 360 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนราคาข้าวหัก 5% ของพม่าอยู่ที่ 330 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลง 10 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในเอเชีย

ในทางตรงกันข้ามพบว่า ราคาข้าวเปลือกเกรด B 100% ของไทยเพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 372 ดอลลาร์ต่อตัน สอดคล้องกับข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยที่ระบุว่า ราคาส่งออกข้าวไทย (เอฟโอบี) ปรับเพิ่มขึ้นทุกรายการ โดยข้าวหอมมะลิไทย ชนิดพิเศษ ปี 67/68 ตันละ 1,148 ดอลลาร์ ณ วันที่ 17 ก.ย. 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า (3 ก.ย.2568) ที่ตันละ 1,109 ดอลลาร์ ข้าวขาว 5% ตันละ 379ดอลลาร์  เพิ่มขึ้นจาก 372 ดอลลาร์ ข้าวนึ่ง 100% ชนิดพิเศษ ตันละ401 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 393 ดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นผลจากปัจจัยหลักคือ เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดย อัตราแลกเปลี่ยน เมื่อ 20 ส.ค. 2568 อยู่ที่ 32.7 บาทต่อดอลลาร์  ,วันที่ 27 ส.ค. อยู่ที่ 32.6 บาทต่อดอลลาร์ , วันที่ 3 ก.ย. อยู่ที่ 32.5 บาทต่อดอลลาร์ และ วันที่ 17 ก.ย. อยู่ที่ 31.8 บาทต่อดอลลาร์ 

อย่างไรก็ตาม  ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ระบุว่า ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิสัปดาห์นี้ (8-14 ก.ย. 2568) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทังประเทศอยู่ที่เฉลี่ยตันละ 14,817 บาท   ลดลงจากสัปดาห์ก่อน  0.05% จากราคาเฉลี่ยตันละ 14,825 บาท ส่วนข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% เฉลี่ยตันละ6,591 บาท ลดลงจากตันละ 6,605 บาท หรือ ลดลง 0.21%  

ราคาข้าวยังร่วงต่อเซ่นสต๊อกท่วมโลก  ซ้ำปัจจัยผลผลิตสูงเป็นประวัติการณ์