‘IMF’ แนะคุมเพดานหนี้สาธารณะไม่เกิน 60% เตือนลดมาตรการกึ่งการคลัง-กู้เงินนอกงบประมาณ

หนี้สาธารณะไทยเสี่ยงชนเพดาน 70% ของจีดีพี เร็วขึ้น 2 ปี หวั่นกระทบเครดิตเรตติ้งประเทศ เหตุเศรษฐกิจโตต่ำ IMF เตือนกลับไปใช้เพดาน 60% สร้างพื้นที่การคลังรองรับวิกฤติอนาคต แนะลดหนี้นอกงบประมาณ ปฏิรูปโครงสร้างรายได้ และรายจ่ายรัฐ รักษาเสถียรภาพการคลัง และความเชื่อมั่นต่างชาติ
KEY
POINTS
- IMF แนะให้รัฐบาลไทยลดหนี้สาธารณะให้ต่ำกว่า 60% ของจีดีพีในระยะกลาง และกลับไปใช้เพดานหนี้ที่ 60% เพื่อสร้างพื้นที่ทางการคลังไว้รับมือวิกฤติในอนาคต
- IMF ประเมินว่าเมื่อรวมภาระหนี้ผูกพัน และความต้องการใช้จ่ายเพิ่มเติมในอนาคต เพดานหนี้ที่เหมาะสมของไทยอาจต้องลดลงเหลือเพียง 66% ของจีดีพี
- IMF เตือนให้รัฐบาลลดการดำเนินมาตรการกึ่งการคลัง เช่น การอุดหนุนผ่านรัฐวิสาหกิจ และลดการกู้เงินนอกงบประมาณ เพื่อเพิ่มความโปร่งใส และหลีกเลี่ยงหนี้ที่ไม่คาดคิด
ปัญหาหนี้สาธารณะไทยทรงตัวระดับสูง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ แม้หนี้สาธารณะล่าสุดอยู่กรอบวินัยการเงินการคลัง 64-65% ของจีดีพี ต่ำกว่าเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ 70% แต่ถือว่ามีความเสี่ยงที่หนี้สาธารณะของไทยจะเพิ่มขึ้นจนใกล้ชนเพดาน
ล่าสุดสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยข้อมูลหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 ก.ค.2568 ไทยมีหนี้สาธารณะ 12.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.49% ต่อจีดีพี ประกอบด้วย
1.หนี้ที่รัฐบาลกู้ และค้ำประกัน 10.87 ล้านล้านบาท 2.หนี้รัฐวิสาหกิจ 1.03 ล้านล้านบาท 3.หนี้รัฐวิสาหกิจที่ทำธุรกิจในภาคการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) 158,750 ล้านบาท 4.หนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 60,263 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเร็วจากเคยต่ำกว่า 40% ของจีดีพี ในช่วงก่อนโควิด-19 แต่เมื่อเผชิญวิกฤติทำให้รัฐบาลกู้เงินมา 1.5 ล้านล้านบาท และจีดีพีช่วงดังกล่าวหดตัวทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีขึ้นมาเกิน 60%
ทั้งนี้ มีการขยายเพดานหนี้สาธารณะเป็น 70% โดยกระทรวงการคลังเสนอปรับเพดานชั่วคราวแต่ทำให้กลับไปต่ำกว่า 60% ไม่ได้ และมีแนวโน้มใกล้ 70% มากขึ้น เพราะเศรษฐกิจในประเทศชะลอ การจัดเก็บรายได้พลาดเป้า และรายได้จากนักท่องเที่ยวไม่ตามเป้าหมาย ขณะที่รายจ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น
สำหรับระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มต่อเนื่องเริ่มส่งผลต่อแผนการคลังระยะปานกลาง ซึ่งเดิมระดับหนี้จะชนเพดาน 70% ในปีงบประมาณ 2572 แต่มีแนวโน้มทบทวนแผนการคลังระยะปานกลางในปลายปี 2568 จะเห็นระดับหนี้สูงถึงเพดานเร็วขึ้น 2 ปี หรือในปี 2570 ซึ่งส่งผลต่อมุมมองสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ
แหล่งข่าว ระบุว่า รัฐบาลที่ผ่านมาอนุมัติเพิ่มสัดส่วนก่อหนี้ในส่วนภาระหนี้รัฐบาลต่อประมาณการรายได้ จากเดิม 35% เป็น 50% ซึ่งเปิดช่องให้รัฐบาลก่อหนี้ได้เพิ่มแม้รายได้รัฐไม่เพิ่มเป็นอีกจุดหนึ่งที่สถาบันจัดเครดิตเรตติ้งจับตา
สำหรับแนวโน้มที่ไทยจะถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้งเป็นไปได้ เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดที่บริษัทเครดิตเรตติ้งต่างประเทศใช้พิจารณา ได้แก่ แนวโน้มหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวต่ำ การจัดเก็บรายได้ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และความไม่แน่นอนทางการเมือง
IMF เตือนรัฐบาลไทยระงับขยับเพดานหนี้สาธารณะ
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เผยแพร่รายงาน “ประเมินเพดานหนี้ของประเทศไทย-ยังมีช่องว่างให้ปรับหรือไม่?” ชี้ให้เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ระบาดทำให้พื้นที่การคลังไทยลดลง ซึ่งเมื่อพิจารณาภาระผูกพัน และการเตรียมการรับมือ “ช็อกครั้งใหม่” ไทยควรปรับเพดานหนี้สาธารณะในระดับที่เหมาะสม
รายงานระบุว่า การรับมือกับโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกระทบพื้นที่ทางการคลังทำให้หนี้สาธารณะสูงขึ้นอยู่ที่ 63% ของจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 และจะยังอยู่ระดับสูง
รวมทั้งเพดานหนี้สาธารณะที่ถูกกำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ อยู่ที่ 70% ของจีดีพี เพิ่งปรับขึ้นจากเดิมที่ 60% เมื่อเดือน ก.ย.2564 เพื่อให้มีพื้นที่รองรับมาตรการโควิด-19 โดย IMF ชี้ว่าแม้ระดับหนี้ไม่เกินเพดานแต่ต้องระวังทางการคลังหรือต้องมีพื้นที่การคลัง (fiscal prudence) เพื่อลดระดับหนี้
รวมทั้ง IMF ประเมินความเพียงพอของเพดานหนี้สาธารณะหรือ “ขีดจำกัดของหนี้” (Debt Limit) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับหนี้สาธารณะที่หากสูงเกินนี้จะทำให้ไทยมีหนี้ที่ไม่ยั่งยืนหรือส่งผลเสียต่อการเติบโตเศรษฐกิจ โดยขีดจำกัดหนี้สาธารณะไทยอยู่ช่วง 77-87% ของจีดีพี โดยมีค่ากลางที่ 82% ของจีดีพี
ขณะที่การกำหนดเพดานหนี้ที่เหมาะสมต้องรวม “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” (safety margin) เพื่อให้มีบัฟเฟอร์รับแรงกระแทกทางเศรษฐกิจมหภาค โดย IMF จำลองสถานการณ์ทางเลือกที่นำปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมมาพิจารณา ได้แก่
1.ภาระหนี้ผูกพัน (Contingent Liabilities) ประมาณการที่ 3% ของจีดีพีทุก 6 ปี
2.ความต้องการใช้จ่ายเพิ่มเติม 0.7% ของจีดีพีต่อปี สำหรับการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ, การลงทุนในทุนมนุษย์, และการแก้ปัญหาสังคมสูงอายุ แสดงให้เห็นว่าเมื่อนำภาระหนี้ผูกพัน และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมมาพิจารณา เพดานหนี้ที่เพียงพอที่สอดคล้องกับขีดจำกัดของหนี้ที่ประเมินไว้อาจต้องลดลงเหลือเพียง 66% ของจีดีพี
“IMF เตือนว่าหากความถี่ของปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจเกิดเพิ่มขึ้น และต้องใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้นอาจต้องกำหนดบัฟเฟอร์ความปลอดภัยใหญ่ขึ้น และปรับเพดานหนี้ให้ต่ำลงไปอีก”
แนะไทยกลับไปใช้เพดานหนี้ 60%
ด้วยสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะเข้าใกล้ระดับ 70% ของจีดีพี และจะเพิ่มขึ้นอีก IMF เสนอรัฐบาลลดหนี้สาธารณะต่ำกว่า 60% ของจีดีพีในระยะกลาง และนำเพดานหนี้ 60% ของจีดีพีมาใช้ใหม่เพื่อรักษากลไกทางการคลังรับวิกฤติอนาคต
นอกจากนี้ IMF ยังเรียกร้องให้ปรับปรุงกรอบกฎเกณฑ์ทางการคลังโดยรวม เช่น การใช้กฎเกณฑ์ตามความเสี่ยง (risk-based rules approach) ที่กำหนดเป้าหมายการขาดดุลที่เข้มงวดขึ้นเมื่อระดับหนี้ใกล้ถึงเพดาน
เตือนหนี้นอกงบประมาณพุ่ง
นอกจากนี้ ไทยควรสร้างความโปร่งใสทางการคลังเพื่อเลี่ยง “หนี้ที่ไม่คาดคิด” (debt surprises) โดยเฉพาะกู้เงินนอกงบประมาณ ซึ่งช่วงโควิดออกมาตรการ 1.5 ล้านล้านบาท คิดเป็น 8.9% ของจีดีพี ในปีงบประมาณ 2562 แม้ทำให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือได้เร็ว แต่ส่งผลให้ความโปร่งใส และความรับผิดชอบทางการคลังลดลง
ทั้งนี้ การดำเนินการกึ่งการคลัง (quasi-fiscal operations) โดยใช้มาตรา 28 ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เช่น การอุดหนุนพลังงานผ่านรัฐวิสาหกิจ เป็นอีกปัจจัยที่ลดการควบคุมการใช้จ่ายสาธารณะโดยรวม และทำให้หนี้เพิ่มขึ้น โดย IMF แนะนำให้ปรับปรุงการรายงานขอบเขตของการดำเนินการนอกงบประมาณ และการประเมินต้นทุนของภาระหนี้ผูกพันอาจเกิดขึ้นเพื่อให้โปร่งใสทางการคลัง
สภาพัฒน์แนะปฏิรูปการคลังก่อนเกิดวิกฤติ
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงแนวทางการยกระดับภาคการคลัง โดยปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเติบโตท่ามกลางปัจจัยความท้าทายหลายด้าน เช่น การค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศรุนแรงขึ้น
ขณะที่พื้นที่การคลัง (Fiscal Space) มีจำกัดเพราะความสามารถจัดเก็บรายได้ที่ลดลง และรายจ่ายเพิ่มขึ้นทำให้ระดับหนี้สาธารณะสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือประเทศ
ทั้งนี้ ภาครัฐควรเน้นทำตามแนวทางการปฏิรูปการคลังหลายด้าน เช่น การปรับโครงสร้างรายได้ โดยปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อจัดเก็บจากแหล่งรายได้ใหม่ และขึ้นอัตราภาษีบางรายการให้เหมาะกับเศรษฐกิจ
รวมทั้ง การปฏิรูปประสิทธิภาพการใช้จ่าย โดยทบทวนรายจ่าย และใช้นโยบายสวัสดิการประชาชนแบบมุ่งเป้ามากขึ้น เพื่อลดความซ้ำซ้อน ควบคู่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะยั่งยืน และการปฏิรูปบทบาทภาครัฐ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวยั่งยืน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







