‘อนุทิน’ แบกความหวังภาคธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจ ‘แก้เงินบาทแข็งค่า’

“ภาคธุรกิจ”เรียกร้องนายกฯ เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ส.อ.ท.-หอการค้า ชงแผนรับมือสงครามการค้า แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เร่งบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
KEY
POINTS
- นายกฯ อนุทิน ได้พบปะกับภาคเอกชน ทั้งสภาอุตสาหกรรมฯ (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าฯ เพื่อรับฟังข้อเสนอในการแก้ปัญหา และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลจะนำข้อเสนอบางส่วนไปบรรจุในนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา
- ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลบริหารจัดการผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งส่งผลเสียต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค
- สภาอุตสาหกรรมฯ เสนอให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกันแก้ปัญหาเงินทุนไหลเข้าที่ผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า และออกมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบ
- สภาหอการค้าฯ เสนอให้ ธปท. ดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ที่ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบ
หลังจากที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางพบภาคเอกชนเพื่อรับฟังความเห็น โดยได้นำคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเข้าหารือกับภาคเอกชนด้วย ซึ่งรัฐบาล และภาคธุรกิจมีความเห็นตรงกันหลายประเด็น เช่น โครงการคนละครึ่ง แต่มีหลายประเด็นที่ภาคธุรกิจต้องการให้รัฐบาลพิจารณาแม้จะมีช่วงเวลายุบสภาใน 4 เดือน โดยเฉพาะการเตรียมปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
นายอนุทิน ได้หารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2568 ต่อมาได้หารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2568 ในขณะที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจบางส่วนได้หารือกับองค์กรเอกชนบางแห่งเพิ่มเติม โดยรัฐบาลยืนยันนำข้อเสนอบางส่วนของภาคเอกชนไปบรรจุในร่างนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างนักการเมือง นักวิชาการ ข้าราชการประจำ และผู้บริหารจากภาคเอกชน ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการวางทิศทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการลงทุนของประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากทั้งใน และต่างประเทศ
ทั้งนี้ ส.อ.ท.ได้หารือกับนายกรัฐมนตรี และมีข้อเสนอแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น และระยะยาว ดังนี้
1. เตรียมความพร้อมรับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐ และสงครามการค้า ซึ่งต้องเร่งสร้างความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขใหม่ของสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐ รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานให้คำปรึกษาเรื่องการคำนวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศ/ภูมิภาค (RVC) รวมทั้งกำกับดูแลการนำเข้า และการตรวจสอบสินค้า
2. การส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs โดยจะทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์
3. การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการและประชาชน โดยไม่ผลักภาระไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขณะเดียวกันต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานให้มีเสถียรภาพ และเพียงพอต่อความต้องการควบคู่กับการส่งเสริมพลังงานสะอาด เพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้แข่งขันบนเวทีโลกสอดคล้องมาตรการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
4. การรับมือผลกระทบจากปัญหาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และหามาตรการช่วยเหลือ และเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากช่วงปิดด่าน และการขนส่งสินค้า อีกทั้งช่วยหาเส้นทางการขนส่งสินค้าด้วยเส้นทางอื่นๆ ทดแทน รวมถึงมาตรการเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ และชดเชยค่าขนส่งที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว เพื่อให้ผู้ประกอบการยังคงสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
5. การบริหารจัดการผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย และ ส.อ.ท.ได้สะท้อนความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ เสนอให้มีการทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการแก้ปัญหาปม ‘เงินไม่รู้ที่มา ทะลักเข้าไทยทุกเดือนจำนวนมากผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา’ ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งหามาตรการเงินช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมส่งออกไทยที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยได้เสนอรัฐบาลใหม่กระทบตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน 4 เดือน ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่การไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ
ขณะเดียวกันธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก ส่วนมิติการกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น “คนละครึ่ง” และ “Easy E-Receipt” รวมถึงรณรงค์ “ใช้ของไทย ฟื้น SME”
ส่วนภาคการท่องเที่ยวควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ด้านมาตรการสำหรับเอสเอ็มอี ขอให้มีการจัดสรรงบประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย (NPL) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP ด้านแรงงาน
นอกจากนี้ มาตรการระยะกลาง 8 เดือน หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุน และเสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก ขณะเดียวกันรัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งในระบบ และนอกระบบ โดยปรับโครงสร้างหนี้ และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ถูกกฎหมาย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







