ทำไมเฟดลดดอกเบี้ยครั้งนี้จึงสำคัญ | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

สัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ครั้งแรกในปีนี้ สอดคล้องกับที่ตลาดการเงินคาดและตลาดมองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลง
อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังการลดดอกเบี้ยต้องเข้าใจว่าเฟดตัดสินใจในสถานการณ์ที่ลำบาก เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจยังคลุมเครือและไม่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยอย่างเต็มที่
แต่แรงกดดันจากฝ่ายการเมืองให้เฟดลดดอกเบี้ยมีมากและรุนแรง ขณะที่เฟดก็ต้องรักษาความเชื่อมั่นของตลาดในความเป็นอิสระของธนาคารกลางในการทำหน้าที่ ทั้งหมดทำให้บริบทของการตัดสินใจคราวนี้ยากและไม่ธรรมดา เป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องเข้าใจ และนี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะแวดล้อมในการทำนโยบายการเงินในสหรัฐตอนนี้ต้องบอกว่าไม่ปกติ ทุกอย่างยากขึ้นเพราะความไม่แน่นอนมีสูงและความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เป็นพื้นฐานของการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีเหตุมีผลก็ถูกท้าทายมากขึ้นโดยการเมือง อย่างไม่เคยมีมาก่อน
อย่างแรก คือ ความไม่แน่นอนและความไม่นิ่งของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ ที่นโยบายเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนทางนโยบายมากสุด ตัวอย่าง เช่น นโยบายส่งกลับแรงงานผิดกฎหมาย และการขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศ
นโยบายเหล่านี้มีผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ความไม่ชัดเจนเรื่องผลกระทบทำให้การทำนโยบายด้านอื่นๆ ที่ต้องเอาผลกระทบเหล่านี้มาร่วมพิจารณาเช่น นโยบายการเงิน จึงยากมากขึ้น เช่น เฟดต้องวิเคราะห์การปรับตัวของผู้ผลิตในสหรัฐต่อการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อให้เข้าใจว่าจะปรับตัวอย่างไร ช้าเร็วแค่ไหน จะส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับผู้บริโภคทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดมีความไม่แน่นอน ส่งผลให้การตัดสินใจของเฟดอาจไม่แม่นยําและฉับไวอย่างที่ควรจะเป็น นี่คือ ความท้าทาย
อย่างที่สอง คือ การแทรกแซงของการเมืองในการทำนโยบายการเงิน ที่ฝ่ายการเมืองโดยประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ย และกดดันอย่างรุนแรงและโจ่งแจ้งในหลายรูปแบบ จนเกิดประเด็นความเป็นอิสระของธนาคารกลาง
อย่างที่ทราบ หน้าที่ของเฟดหรือธนาคารกลางคือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ หมายถึงอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำและการจ้างงานที่อัตราการว่างงานต่ำ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ นี่คือ หน้าที่ตามกฎหมายของเฟด และความเป็นอิสระของเฟดในการทำหน้าที่สำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
เพราะจะป้องกันไม่ให้การเมืองเข้ามาชี้นำการตัดสินใจที่อาจทำให้เศรษฐกิจเกิดปัญหาเสถียรภาพได้ เช่น อัตราเงินเฟ้อสูง กระทบความเป็นอยู่ของประชาชนและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ตลาดการเงินจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และจะไม่ตอบรับการแทรกแซง เช่น หุ้นตก ค่าเงินอ่อน ชี้ถึงความสำคัญที่ตลาดให้กับความเป็นอิสระของธนาคารกลางในการทำหน้าที่
กรณีสหรัฐ ฝ่ายการเมืองแทรกแซงโดยประธานาธิบดีชี้นำด้วยวาจาอย่างเปิดเผยว่าธนาคารกลางสหรัฐควรลดอัตราดอกเบี้ย พูดหลายครั้งเป็นเดือนๆ โดยอ้างผลของดอกเบี้ยสูงต่อตลาดที่อยู่อาศัยและภาระหนี้รัฐบาล ด้านรัฐมนตรีการคลังก็กดดันอีกทาง โดยต้องการให้มีหน่วยงานอิสระประเมินการทำงานของเฟด เพราะมองว่าองค์กรเติบโตมากจากการทำหลายอย่างที่อาจเกินพันธกิจ
ล่าสุดแรงกดดันออกมาในรูปของการให้คนของฝ่ายการเมืองแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีทรัมป์เข้าไปนั่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก และคุมการตัดสินใจของเฟดเรื่องอัตราดอกเบี้ย โดยประธานาธิบดีทรัมป์ขออํานาจศาลปลดนางลิซ่า คุ๊ก ออกจากการเป็นกรรมการนโยบายการเงิน โดยอ้างการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องในคำขอเงินกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่ศาลอุทธรณ์ยับยั้งคำขอดังกล่าว
ขณะเดียวกันก็แต่งตั้ง นายสตีเฟน มิราน ประธานสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีเป็นกรรมการคนล่าสุดในคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐแทนตำแหน่งที่ว่าง และนายมิรานเป็นคนเดียวที่คัดค้านการลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว เพราะต้องการให้ลดร้อยละ 0.5 และต้องการให้ลดอีกมากสุดในปีนี้เทียบกับกรรมการคนอื่นๆ
การแต่งตั้งนาย มิราน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ธนาคารกลางสหรัฐ 111 ปี ที่นักการเมืองหรือผู้มีตําแหน่งทางการเมืองเข้าไปเป็นผู้ว่าการ หรือกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงิน
เพราะนายมิรานไม่ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีทรัมป์ คือ ยังมีตําแหน่งทางการเมืองอยู่ เพียงแต่ลาจากการทำหน้าที่โดยไม่รับเงินเดือน จึงเหมือนควบสองตำแหน่งพร้อมกัน เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เห็นได้จากคะแนนเสียงในรัฐสภาที่สนับสนุนนายมิรานเป็นกรรมการคณะกรรมการนโยบายการเงิน ผ่านแบบเฉียดฉิว คือ 48 ต่อ 47 คะแนน
ด้านที่สาม คือตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยควรปรับลง เพราะอัตราเงินเฟ้อล่าสุดเดือนสิงหาคมยังปรับขึ้นและอยู่สูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2 ขณะที่ตลาดแรงงานอ่อนแอลง การจ้างงานใหม่เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 22,000 คน ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มเป็นร้อยละ 4.3
อัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมไม่ได้ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐกำลังอ่อนตัว ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ลดลงจากร้อยละ 3.3 เดือนกรกฎาคม ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.9 สูงกว่าร้อยละ 2.7 เดือนกรกฎาคม อัตราเงินเฟ้อในราคาผู้ผลิตที่ลดลง
แสดงว่าผู้ผลิตอาจยังไม่ส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากภาษีไปสู่ผู้บริโภค แต่อัตราเงินเฟ้อในราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นสะท้อนราคาที่สูงขึ้นในหมวดสินค้าบริโภคนำเข้า อาหาร และบริการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น และอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นจากการขาดแรงงาน เนื่องจากจำนวนแรงงานที่เป็นผู้อพยพลดลง
ปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยชั่วคราวแต่จะต่อเนื่อง อย่างน้อยอีกระยะหนึ่ง ทำให้แรงกดดันต่อเงินเฟ้อน่าจะยังมีต่อไป แต่ ณ จุดนี้ เฟดมองว่าความเสี่ยงต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้น สะท้อนจากตัวเลขตลาดแรงงาน เทียบกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย
การลดดอกเบี้ยจึงเหมือนการบริหารความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจชะลอมากกว่าที่เห็น แต่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐจะยิ่งปรับลงยาก เป็นความเสี่ยงที่เฟดเองก็ตระหนักและอาจทำให้เกิดปัญหา Stagflation ตามมา คือเงินเฟ้อสูงพร้อมเศรษฐกิจชะลอ ซึ่งจะแก้ยาก นี่คือความยากของทำนโยบายการเงินของเฟดขณะนี้
ในความเห็นของผม ความท้าทายในการทำนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐในทั้งสามด้านคงยังไม่จบแต่จะมีต่อไป การตัดสินใจของเฟดที่แล้ว จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่แน่นอนและความผันผวนที่จะมีมากขึ้นในตลาดการเงิน เป็นผลจากเศรษฐกิจการเมืองโลก และนโยบายที่ไม่ปกติ







