ย้อนมองผลสำเร็จ “คนละครึ่ง” 5 เฟส รัฐอัดฉีดเศรษฐกิจรวมกว่า 2.08 แสนล้าน

ส่องความสำเร็จโครงการ “คนละครึ่ง“ เฟสล่าสุด รัฐบาลอัดฉีดเศรษฐกิจรวมทั้งสิ้นกว่า 2.08 แสนล้าน ช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน กระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก
โครงการ "คนละครึ่ง" ถือเป็นหนึ่งใน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งใหญ่ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อเดือน ต.ค. 2563 และสิ้นสุดเฟสที่ 5 ในเดือนต.ค.2565
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์หลักของโครงการเพื่อช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยกลไกหลักคือการที่รัฐร่วมจ่าย (Co-payment) 50% สำหรับค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ผ่านแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" กำหนดวงเงินใช้จ่ายสูงสุดไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวัน
ตลอดทั้ง 5 เฟส รัฐบาลได้ใช้งบประมาณสนับสนุนรวมทั้งสิ้น 208,400 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนผู้มีสิทธิ์ทั่วประเทศ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในนโยบายการคลังที่เข้าถึงประชาชนในวงกว้างและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดย "กรุงเทพธุรกิจ" ได้รวบรวมการดำเนินโครงการ คนละครึ่ง 5 เฟส ประกอบด้วย
คนละครึ่ง เฟส 1 (ต.ค. 63 - ธ.ค. 2563) โครงการคนละครึ่งเริ่มต้นขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในช่วงปลายปี 2563 โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ 9.98 ล้านคน วงเงินใช้จ่ายสูงสุด 3,000 บาทต่อคน ใช้งบประมาณ 29,600 ล้านบาท ผู้เข้าร่วมต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์และยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
คนละครึ่ง เฟส 2 (ม.ค. 64 - มี.ค. 2564) รัฐบาลได้ขยายโครงการสู่เฟส 2 โดยเปิดให้ผู้ไม่เคยเข้าร่วมลงทะเบียนเพิ่มเติม 5 ล้านคน
ขณะที่ผู้เคยร่วมเฟส 1 ได้รับวงเงินเพิ่มอีก 500 บาท รวมเป็น 3,500 บาทต่อคน โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ เน้นร้านค้าผู้ประกอบการรายย่อย ไม่เป็นนิติบุคคล หรือร้านค้าในบ้าน/แผงลอยที่ไม่มีหน้าร้านถาวร มีผู้ใช้สิทธิ์รวม 14.79 ล้านคน และใช้งบประมาณ 20,300 ล้านบาท
เฟส 3 (ก.ค. 64 - ธ.ค. 2564) เพิ่มความครอบคลุมและหลากหลาย โดย เฟส 3 เป็นช่วงที่โครงการขยายตัวอย่างมาก ทั้งเปิดให้ลงทะเบียนรายเก่าและรายใหม่ โดยมีการเพิ่มวงเงินและรอบระยะเวลาการใช้รวมเป็นทั้งหมด 4,500 บาทต่อคน
ที่สำคัญคือมีการขยายประเภทของร้านค้าและบริการที่เข้าร่วม จากร้านค้าทั่วไปไปสู่ผู้ประกอบการรถส่งสาธารณะ เช่น แท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ขนส่งมวลชน อาทิ รถไฟ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือโดยสาร
รวมถึงผู้ประกอบการบริการ เช่น นวด สปา และทำผม และบริการ Food Delivery Platform โดยเฟสนี้ใช้งบประมาณสูงสุดถึง 110,000 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิ์สูงสุดถึง 26.34 ล้านคน
คนละครึ่ง เฟส 4 (ก.พ. 65 - พ.ค. 2565) โครงการคนละครึ่งเฟส 4 ดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่คล้ายกับเฟส 3 โดยมีการขยายระยะเวลาการใช้จ่ายจนถึงเดือนเม.ย. 2565 เพื่อช่วยพยุงกำลังซื้อต่อเนื่องในช่วงต้นปี โดยกรุงเทพธุรกิจรวบรวมงบประมาณที่ใช้ในเฟสนี้อยู่ที่ 30,300 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิ์ 26.27 ล้านคน แม้วงเงินจะลดลงเหลือ 1,200 บาทต่อคน
คนละครึ่ง เฟส 5 (ก.ค. 65 - ต.ค. 2565) เฟสสุดท้ายของโครงการ ได้รับวงเงิน 800 บาทต่อคน เฟสนี้ใช้งบประมาณ 18,200 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิ์ 24.02 ล้านคน
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้เปิดเผยผลการวิเคราะห์มาตรการการคลังของ โครงการคนละครึ่ง ในระยะที่ 1-3 (1 ต.ค. 63–31 ธ.ค. 64) พบว่าก่อให้เกิดยอดการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ 3.3 แสนล้านบาท โดยเป็นส่วนที่รัฐบาลสนับสนุนประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นขนาดประมาณ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Nominal GDP)
ผลกระทบเชิงบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นชัดเจน โดยสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจหรือ GDP ได้ราว 8.95 หมื่นล้านบาท โดยสาขาการผลิตที่ได้รับประโยชน์โดยตรงและส่งผลต่อเนื่อง ได้แก่ การค้าปลีกและค้าส่ง ธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ภาคการธนาคารและบริการ สาธารณูปโภคและภาคการเกษตร
โดยหนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุดของโครงการ คือ ผลกระทบด้านการกระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สศค. ได้ใช้ดัชนี Atkinson Index เพื่อวัดการกระจายรายได้สะสมของร้านค้าในแต่ละจังหวัด พบว่าโครงการคนละครึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 0.326
ในขณะที่การกระจายตัวของผลิตภัณฑ์จังหวัด (GPP) โดยทั่วไปอยู่ที่ 0.583 (ค่าที่น้อยกว่าหมายถึงการกระจายตัวที่ดีกว่า) สะท้อนให้เห็นว่า เม็ดเงินจากโครงการมีการกระจายตัวไปสู่จังหวัดต่างๆ ได้ดีกว่าสภาวะเศรษฐกิจปกติอย่างมีนัยสำคัญ
ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาการกระจุกตัวของมูลค่าทางเศรษฐกิจ จะพบว่าโดยปกติแล้วมูลค่าผลิตภัณฑ์ของ 4 จังหวัดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมีสัดส่วนรวมกันถึง 51% ของ GDP ทั้งประเทศ แต่สำหรับรายได้ของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ต้องใช้จังหวัดที่มีมูลค่าการใช้จ่ายสูงสุดถึง 35 จังหวัดรวมกัน จึงจะมีมูลค่าคิดเป็น 51%







