‘วรภัค’ ชี้ปัญหาการคลังไทยคล้ายฝรั่งเศส ย้ำรัฐบาลใหม่พร้อมแก้หนี้สาธารณะ

‘วรภัค’ ชี้ปัญหาการคลังไทยคล้ายฝรั่งเศส ย้ำรัฐบาลใหม่พร้อมแก้หนี้สาธารณะ

“วรภัค” รมช.คลัง ป้ายแดง ชี้ปัญหาการคลังไทยใกล้เคียงฝรั่งเศส ย้ำรัฐบาลใหม่พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ

นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์แสดงความเห็นถึงสถานการณ์การคลังของประเทศผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว “Vorapak Tanyawong” โดยเปรียบเทียบกับวิกฤตหนี้สาธารณะของฝรั่งเศสที่เพิ่งถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีความเข้าใจและพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

นายวรภัค ระบุว่า การที่ฝรั่งเศสถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (downgrade) โดยเครดิตเรทติ้งเอเจนซี่ เหตุผลสำคัญคือ ฐานะการเงินการคลังที่อ่อนแอ และ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถเดินหน้านโยบายได้อย่างต่อเนื่อง

แต่เพียงไม่นาน มาถึงวันนี้ เมื่อรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศสพยายามจะเดินหน้านโยบาย “รัดเข็มขัด” (fiscal tightening) เพื่อกู้สถานะทางการคลังกลับคืนมา ก็ถูกประชาชนกว่า ครึ่งล้านคนออกมาประท้วง ปิดการคมนาคม หยุดงาน และสร้างแรงกดดันทางการเมืองอีกครั้ง สะท้อนปัญหาคลาสสิกของประเทศที่ติดอยู่ใน “กับดักหนี้สาธารณะ”

บทเรียนสำคัญจากฝรั่งเศส

 1. ฐานะการคลังที่อ่อนแอเป็นจุดเริ่มของความเปราะบาง เนื่องจากการขาดดุลต่อเนื่องและหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นเกิน 100% ของ GDP ทำให้รัฐบาลต้องเข้าสู่เส้นทางรัดเข็มขัด อย่างไรก็ตามทุกมาตรการรัดเข็มขัดย่อมกระทบประชาชนโดยตรง และเสี่ยงสร้างแรงต้านทางสังคม

 2. การเมืองที่ไม่มั่นคงทำให้การคลังยิ่งจัดการยาก เนื่องจากฝรั่งเศสเพิ่งเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาหลายคนในระยะเวลาอันสั้น ทำให้งบประมาณกลายเป็น “สมรภูมิการเมือง” มากกว่านโยบายทางเศรษฐกิจ ทำให้การปฏิรูปเชิงโครงสร้างแทบเดินหน้าไม่ได้

 3. ถ้าไม่เพิ่มรายได้ ก็หนีไม่พ้นต้องตัดรายจ่าย ทั้งนี้ ปัญหาการจัดเก็บรายได้ไม่พอเพียงต่อการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้ทางเลือกสุดท้ายคือการลดสวัสดิการ ลดวันหยุด หรือปรับขึ้นภาษี ซึ่งสร้างความไม่พอใจในวงกว้าง

สำหรับประเทศไทยเองก็มี “สัญญาณเตือน” ที่คล้ายคลึงกัน โดยระดับหนี้สาธารณะกำลังจะแตะ 65% ของ GDP และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่รายได้ภาครัฐเติบโตช้ากว่ารายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือนข้าราชการ สวัสดิการ และดอกเบี้ยหนี้ ซึ่งหากไทยไม่สามารถ ขยายฐานรายได้ใหม่ หรือทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้เร็วกว่ารายจ่ายแล้ว อาจต้องเผชิญกับมาตรการรัดเข็มขัดและแรงต้านจากประชาชนในอนาคต

ทั้งนี้ บทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาปรับใช้ 3 ประการคือ 1.รัดเข็มขัดโดยไม่เพิ่มรายได้เท่ากับเสี่ยงถูกต่อต้าน ดังนั้นการสร้างรายได้ใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็น 2. เสถียรภาพทางการเมืองคือกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยให้การปฏิรูปการคลังเดินหน้าได้ และ 3. การเติบโตอย่างมีคุณภาพคือคำตอบระยะยาว ที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ยั่งยืน

ในฐานะที่กำลังจะเข้ามารับตำแหน่ง รมช.คลัง นายวรภัคแสดงความเชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายเอกนิติ ว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในนโยบายการคลังเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าด้วยความร่วมมือและมุมมองที่ตรงจุด จะสามารถนำการเปลี่ยนแปลงในทางบวกมาสู่สถานการณ์ทางการคลังของประเทศได้อย่างแน่นอน แม้จะมีเวลาในการทำงานที่จำกัด

นายวรภัค ระบุว่า นายเอกนิติ เคยเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังมีประสบการณ์และเข้าใจเรื่องนโยบายการคลังรวมทั้งวินัยการคลังเป็นอย่างดี รวมทั้งยังเป็นผู้มีประสบการณ์มากกับกรมจัดเก็บรายได้ที่สำคัญของประเทศหลายกรม

“ท่านมาถูกที่ถูกเวลาแน่นอนครับ ถึงแม้เวลาให้ปฏิบัติงานอาจจะสั้นหน่อยแต่ผมมั่นใจว่าท่านคงจะทำการเปลี่ยนแปลงในทางบวกได้อย่างมาก จากที่ได้หารือกันหลายรอบก่อนหน้านี้”