ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมวขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของโลกอานิสงค์คนรักสัตว์เลี้ยงพุ่ง

ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมวขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของโลกอานิสงค์คนรักสัตว์เลี้ยงพุ่ง

สนค.เผย ตลาดหมา-แมว  คึกคักทั่วโลก ปี 67 มีมูลค่า สูงถึง 26,466.28 ล้านดอลลาร์ เยอรมันนำเข้าเบอร์ 1 ขณะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมว อันดับที่ 2 ของโลก ด้วยมูลค่า 2,677.03 ล้านดอลลาร์  

KEY

POINTS

  • ในปี 2567 ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมวอันดับ 2 ของโลก ด้วยมูลค่า 2,677.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตขึ้น 29% จากปีก่อนหน้า
  • ตลาดส่งออกหลักของไทยคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดอันดับหนึ่ง ตามด้วยญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี และมาเลเซีย
  • ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตมาจากการเพิ่มขึ้นของคนเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก และภาพลักษณ์ที่ดีของไทยด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยง

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า  (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า  ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาดอาหารสุนัขและแมวทั่วโลกคึกคักเป็นอย่างมาก โดยในปี 2567 มูลค่าการนำเข้ารวมของโลกสูงถึง 26,466.28 ล้านดอลลาร์

ประเทศผู้นำเข้าสำคัญ 5 อันดับแรก คือ เยอรมนี มีมูลค่าการนำเข้า 2,435.16 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 9.2 % ของมูลค่านำเข้ารวมของโลก รองลงมา คือ สหรัฐฯมูลค่าการนำเข้า 2,215.51 ล้านดอลลาร์  สัดส่วน 8.4 %  สหราชอาณาจักร มูลค่าการนำเข้า 1,762.27 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 6.7 โปแลนด์ มูลค่าการนำเข้า 1,530.44 ล้านดอลลาร์ สัดส่วน 5.8%  และแคนาดา มูลค่าการนำเข้า 1,379.63 ล้านดอลลาร์  สัดส่วน 5.2 %

สำหรับประเทศไทย ในปี 2567 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสุนัขและแมว อันดับที่ 2 ของโลก ด้วยมูลค่า 2,677.03 ล้านดอลลาร์  ขยายตัว 29  % เทียบกับปีก่อนหน้า และมีสัดส่วน 10 %ของมูลค่าส่งออกอาหารสุนัขและแมวของทั้งโลก ตามหลังเยอรมนี ที่ครองอันดับที่ 1 มาหลายปี

โดยเยอรมนีส่งออกเป็นมูลค่า 3,282.69 ล้านดอลลาร์   สัดส่วน 12.3 %  ของมูลค่าส่งออกรวมของโลก

สำหรับประเทศผู้ส่งออกสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออก 2,520.71 ล้านดอลลาร์  สัดส่วน 9.4  % โปแลนด์ มูลค่าการส่งออก 2,408.40 ล้านดอลลาร์  สัดส่วน 9.0 %  และฝรั่งเศส มูลค่าการส่งออก 2,307.87 ล้านดอลลาร์  สัดส่วน 8.6 %

“พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์” ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า  ศักยภาพการแข่งขันของไทยในสินค้าอาหารสุนัขและแมว ขณะนี้ถือได้ว่ามีเสถียรภาพและมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องและในหลากหลายตลาด เนื่องจากประเทศไทยมีจุดเด่นและมีภาพลักษณ์ที่ดีในด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอาหาร ซึ่งรวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงด้วย โดยการส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวของไทย

ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมวขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของโลกอานิสงค์คนรักสัตว์เลี้ยงพุ่ง

ในปี 2567 มีมูลค่า 2,677.03 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 29 % เทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมวเป็นมูลค่า 1,685.74 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10.72 %  เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  ซึ่งตลาดสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 609.86 ขยายตัว 26 % ยังคงขยายตัวท่ามกลางอัตราภาษีต่างตอบแทน 19 % ของสหรัฐฯ

ทั้งนี้สัดส่วนตลาดการส่งออกสูงของไทย อาทิ สหรัฐฯ สัดส่วน 32.4 %  ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยซึ่งการส่งออกไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 868.40 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว  47%  ตลาดสำคัญรองลงมา ได้แก่ ญี่ปุ่น มูลค่าการส่งออก 329.37 ล้านดอลลาร์ ออสเตรเลีย มูลค่าการส่งออก 167.21 ล้านดอลลาร์  อิตาลี มูลค่าการส่งออก 164.94 ล้านดอลลาร์ และมาเลเซีย มูลค่าการส่งออก 138.18 ล้าน

ทั้งนี้ การส่งออกอาหารสุนัขและแมวจากไทยไป 5 ตลาดอันดับแรกดังกล่าว มีสัดส่วนรวมกันถึง 62.3% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสุนัขและแมวจากไทยไปโลก

สำหรับตลาดสหภาพยุโรป (อียู) การส่งออกของไทยในปี 2567 เทียบกับปี 2566 ขยายตัว 47 %ด้วยมูลค่า 349.58 ล้านดอลลาร์  โดยมีตลาดสำคัญในแถบนี้ อาทิ อิตาลี เยอรมนี เบลเยียม  ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ ในส่วนของตลาดเอเชีย ได้แก่ ตลาดอาเซียน ยังเติบโตต่อเนื่อง อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และสิงค์โปร์

ขณะที่ตลาดเอเชียตะวันออก เช่น ไต้หวัน จีน และเกาหลีใต้ แม้สัดส่วนสินค้าไทยไปตลาดนี้ยังไม่สูงนัก แต่การส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวของไทยก็ขยายตัวได้ดี

ส่วนตลาดเอเชียใต้ มีอินเดีย เป็นตลาดส่งออกสำคัญ ตลาดตะวันออกกลาง เป็นตลาดใหม่ที่ไทยยังส่งออกไปน้อย แต่มีตลาดศักยภาพที่น่าจับตามอง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย คูเวต  อิสราเอล และตุรกี รวมถึงประเทศในยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ ลิทัวเนีย สาธารณรัฐเช็ก และโรมาเนีย

ไทยส่งออกอาหารสุนัขและแมวขึ้นแท่นเบอร์ 2 ของโลกอานิสงค์คนรักสัตว์เลี้ยงพุ่ง

ปัจจัยสำคัญทำให้ไทยมีโอกาสขยายตลาดได้ในหลากหลายภูมิภาค เนื่องจากความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังมักเลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อน และคนรุ่นใหม่ที่มีบุตรช้าหรือไม่แต่งงานก็นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคในหลายประเทศที่หันมาสนใจสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น มาจากเทรนด์การใส่ใจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ผู้ซื้อจึงหันมาสนใจสินค้าเกรดพรีเมียมจากต่างประเทศ รวมถึงสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ซึ่งความต้องการสินค้ากลุ่มนี้ ผู้ประกอบการไทยที่พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลายฟังก์ชัน เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อสุขภาพ วิตามินสูง สัตว์เลี้ยงเด็ก สัตว์เลี้ยงป่วยหรือชรา โดยมีสูตรที่หลากหลายและใช้วัตถุดิบคุณภาพ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคตามเทรนด์นี้ได้เป็นอย่างดี

นายพูนพงษ์ กล่าวว่า นอกจากเทรนด์ความต้องการสินค้าอาหารฟังก์ชันและเกรดพรีเมียมแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  อาทิ การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

หากผู้ส่งออกไทยสามารถผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์แนวโน้มดังกล่าวได้ จะมีโอกาสขยายการส่งออกทั้งในตลาดหลัก เช่น ยุโรป และสหรัฐฯ รวมถึงโซนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออกด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นกฎเกณฑ์การสะสมถิ่นกำเนิดสินค้า (Local Content) ที่ต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกของไทยที่อาจเกิดขึ้น

ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างมาตรฐานและภาพลักษณ์สินค้าไทยด้วยการวิจัยและพัฒนา เพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ สร้างสรรอาหารสัตว์เลี้ยงรูปแบบใหม่ ๆ ที่เสริมสร้างสุขภาพและให้คุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย เพื่อสามารถเข้าถึงตลาดตามความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มแต่ละประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของการส่งออกอาหารสุนัขและแมวของโลกได้ในไม่ช้า