‘เอกนิติ’ พร้อมลุยแก้บาทแข็ง ‘หอการค้า’ขอเรตค่าเงิน 34-35บาท

“อนุทิน” หารือหอการค้า รับข้อเสนอนโยบายเศรษฐกิจ มั่นใจ 4 เดือนบริหารเศรษฐกิจไม่ถอยหลัง “เอกนิติ” หารือ ธปท.จับตาเงินไหลเข้าผิดปกติป่วนบาทแข็ง หารือว่าที่ผู้ว่าแบงก์ชาติ เตรียมมาตรการรักษาเสถียรภาพเงินบาทแล้ว “ภาคธุรกิจ” ขออัตราแลกเปลี่ยน 34-35 บาท
KEY
POINTS
- นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ว่าที่ รมว.คลัง ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเตรียมมาตรการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท หลังพบเงินทุนไหลเข้าผิดปกติซึ่งเป็นสาเหตุให้เงินบาทแข็งค่า
- สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลใหม่ ขอให้ดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ที่ประมาณ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก
- ข้อเสนอดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการระยะเร่งด่วนที่ภาคเอกชนเสนอต่อรัฐบาลในการประชุมร่วมกับนายกรัฐมนตรีและทีมเศรษฐกิจ เพื่อนำไปประกอบเป็นนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ
หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี เดินสายเข้าหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2568 ล่าสุดนายอนุทิน พร้อมว่าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจเข้าหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ก.ย.2568 พร้อมกับรับข้อเสนอการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยครั้งนี้ มีว่าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจเข้าร่วม ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ว่าที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายอนุทิน กล่าวว่า ได้รับฟังข้อเสนอและความต้องการจากภาคเอกชนที่จะให้รัฐบาลสนับสนุนและช่วยเหลือ เพื่อให้การประกอบธุรกิจคล่องตัว ซึ่งมีทั้งเรื่องของปัญหาเงินทุน หนี้ครัวเรือน อัตราดอกเบี้ย ค่าพลังงาน แรงงาน โลจิสติกส์ และโอกาสของประเทศไทยในอนาคต ซึ่งได้หารือในรายละเอียดพอสมควร และหลังจากนี้จะมีการหารือในรายละเอียดเป็นเรื่องๆต่อไป
“การมาคุยกับภาคเอกชน เพื่อทลายข้อจำกัดที่มีอยู่ เน้นการทำให้ภาคเอกชนทำธุรกิจอย่างคล่องตัว จะเร่งฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจให้เข้มแข็งภายในระยะเวลาอันสั้น จะรวบรวมข้อเสนอภาคเอกชนทั้งหมด เข้าไปประกอบเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา ในช่วงระยะเวลา 4 เดือนที่เข้ามาบริหารประเทศ" นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ ยืนยันว่าเศรษฐกิจจะไม่ถอยหลังอย่างแน่นอน จะพยายามเต็มที่ให้ความเป็นอยู่ของภาคประชาชนดีขึ้น โดยยึดหลักใจกว้างไม่คิดว่านโยบายที่ผลักดันเป็นนโยบายของใคร แต่ยืนยันว่าถ้าเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อประเทศจะทำหมดเพราะเวลามีไม่มาก
"ถ้าจะไปกลัวใครดีเด่นดังหรือได้เครดิตไม่ได้แล้ว ถ้าเกิดผลักดันแล้วสำเร็จ คนที่คิดโครงการนั้นก็ได้เครดิต ตัวผมผู้ผลักดันก็ได้ก็วินวิน ไม่ใช่คนหนึ่งชนะคนหนึ่งแพ้ ถ้าอย่างนั้นก็นำไปสู่ความขัดแย้ง ถ้าวินวินด้วยกัน ผมก็ไม่สนใจ” นายอนุทิน กล่าว
นายเอกนิติ กล่าวถึงเงินทุนไหลเข้าไทยผิดปกติและเป็นส่วนหนึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นรวดเร็วว่า ประเด็นนี้ได้หารือกับนายวิทัย รัตนากร ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเตรียมมาตรการรองรับ และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้เหมาะสมไว้แล้ว
ส่วนประเด็นกระแสเงินไหลเข้าผิดปกติในระหว่างนี้ได้หารือ ธปท.พิจารณาเรื่องเงินทุนไหลเข้าผิดปกติหรืออย่างไร ขณะที่การทำงานเต็มรูปแบบจะต้องรอให้แต่งตั้ง ครม.อย่างเป็นทางการก่อน
หอการค้าขอค่าเงิน 34-35 บาท
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ได้เสนอมาตรการระยะเร่งด่วน 4 เดือน ให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการทำทันที เริ่มจากการค้าระหว่างประเทศที่ควรเร่งรัดการเจรจากับภาษีตอบโต้จากสหรัฐ ควบคู่การแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน ธปท.ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ประมาณ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น คนละครึ่ง และอีซี่ อี - รีซีฟ รวมถึงรณรงค์ใช้ของไทย ฟื้นเอสเอ็มอี
พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน ส่วนภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่
ด้านมาตรการสำหรับภาคธุรกิจเอสเอ็มอี ขอให้จัดสรรงบประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย และเร่งผลักดันโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยใช้เอสเอ็มอีไทย ส่วนด้านแรงงานควรแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
ขณะเดียวกันประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลา 1 ปี , เดินหน้าปราบคอรัปชั่น ยาเสพติด พนันออนไลน์และการค้ามนุษย์
ยื่นข้อเสนอมาตรการระยะกลาง
ส่วนมาตรการระยะกลาง 8 เดือน เสนอให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออกภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก
รวมทั้งภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาจัดตั้งกลไกการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด , ควรเร่งแก้ปัญหาหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยใช้แนวทางปรับโครงสร้างหนี้และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ถูกกฎหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนลดต้นทุนเสริมสภาพคล่อง
“ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้าเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศและสังคมไทย”
นอกจากนี้ได้รวบรวมข้อเสนอจากหอการค้าทั่วประเทศในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมต่อนายกรัฐมนตรี 7 ด้าน ประกอบด้วย
1.เสริมสร้างความเชื่อมั่นประเทศ 2.เพิ่มสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน 3.ลดภาระค่าครองชีพและต้นทุนประชาชน 4.ส่งเสริมการค้า การลงทุนและโลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม สร้างความสามารถแข่งขันให้เอสเอ็มอี
5.รักษาความปลอดภัยและเสถียรภาพทางสังคมโดยเฉพาะชายแดน 6.เตรียมแผนรับมือความเสี่ยงการค้าระหว่างประเทศ 7.กระตุ้นกำลังซื้อและการท่องเที่ยว โดยหวังว่ารัฐบาลรัฐบาลจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ปัจจุบันภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ราคาสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ปรับตัวลดลง ต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนความไม่แน่นอนด้านการเมืองระหว่างประเทศ โดยหอการค้าไทยได้ระดมข้อคิดเห็นจากเครือข่ายหอการค้าทั่วประเทศทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศและผู้ประกอบการรุ่นใหม่







