‘คลัง’ ปัดฝุ่นแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนคนละครึ่ง - อีซี่ อี-รีซีท ดันบริโภค

“คลัง” เตรียมชงมาตรการควิกวินรับนโยบายรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี ชี้ “คนละครึ่ง” วงเงินยิ่งสูงยิ่งสร้างผลกระทบมาก ดัน “อีซี่ อี-รีซีท” พร้อมกระตุ้นท่องเที่ยว
ในระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เดินสายหารือภาคเอกชนเพื่อรับฟังความเห็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในขณะที่การทำงานคู่ขนานกันได้ให้ว่าที่ทีมเศรษฐกิจเตรียมแผนงานไว้ส่วนหนึ่ง ในขณะที่กระทรวงการคลังได้เตรียมแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเสนอรัฐบาลใหม่เช่นกัน
แหล่งข่าวจาก กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายใต้ข้อตกลงทางการเมืองที่รัฐบาลจะมีเวลาการบริหารเพียง 4 เดือนนับตั้งแต่วันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นระยะเวลาไม่นาน ดังนั้นเรื่องที่ดำเนินการได้ช่วงดังกล่าวภายใต้อำนาจเต็มของรัฐบาลจึงมีจำกัด ซึ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดสรรงบประมาณเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง
โดยหนี่งในนโยบายที่ถูกกล่าวถึงหลายครั้งว่าจะนำกลับมาใช้ คือ โครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการบริโภค และช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน ซึ่งแนวคิดรอบนี้จะแบ่งการใช้ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1.ผู้ยื่นแบบภาษีจำนวน 11 ล้านคน รัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่ายเอง 40% 2.ประชาชนทั่วไป และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่าย 50%
ทั้งนี้ การฟื้น "คนละครึ่ง" กลับมาอีกควรทำเป็นโครงการขนาดใหญ่ ยิ่งใช้วงเงินสูงยิ่งสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้มาก โดยการดำเนินโครงการที่ผ่านมาเฟสที่ใช้งบประมาณสูงสุดถึง 110,000 ล้านบาท ผู้ใช้สิทธิกว่า 26.34 ล้านคน ได้รับวงเงินใช้จ่าย 4,500 บาท/คน
อย่างไรก็ตาม ยังขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะมีการพิจารณาใช้งบประมาณเท่าใด รวมทั้งรายละเอียดของโครงการ ซึ่งต้องพิจารณาเพื่อจัดสรรงบประมาณที่มีอยู่จำกัดกับนโยบายอื่นร่วมด้วย
รวมทั้งหากเริ่มทำ "โครงการคนละครึ่ง" ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณรายจ่าย 2568 ที่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2568 จะใช้งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่มีวงเงินเหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท รวมกับงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2569 วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท และงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนวงเงิน 9.8 หมื่นล้าน
นอกจากนั้น มีโครงการสำเร็จรูปอื่นที่กระทรวงการคลังเคยดำเนินการ และประสบความสำเร็จมาแล้ว และเป็นหนึ่งในนโยบายควิกวินรัฐบาลได้ อาทิ มาตรการภาษี Easy E-Receipt (อีซี่ อี-รีซีท) และลดหย่อนภาษีกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ
“สำหรับเงินที่มีอยู่อาจจะไม่ได้ใช้ทำโครงการคนละครึ่งทั้งหมด อาจจะมีโครงการหรือมาตรการอื่นๆ ด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะมีนโยบายอะไรออกมา” แหล่งข่าว ระบุ
เน้นดูแลประชาชน-เอสเอ็มอี
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การหารือวงเล็กระหว่าง ส.อ.ท.และว่าที่ทีมเศรษฐกิจคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2568 หารือหลังจากที่ ส.อ.ท.ได้พบกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันที่จะเน้นการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อยที่กังวลต่อภาวะใน 3 เดือนข้างหน้า ขณะที่รายกลางและรายใหญ่ยังประเมินสถานการณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่ง ส.อ.ท.ชี้ว่าควรเร่งช่วยผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน พร้อมให้รายใหญ่ช่วยเหลือเป็นทอด ๆ
รวมทั้งทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์รายเดือน และระยะสั้นจะประชุมร่วมกันทุกสัปดาห์ พร้อมเร่งแก้ปัญหาสินค้าต่างประเทศที่เข้ามาทุ่มตลาด
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ และทีมงาน แต่เชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีได้คัดเลือกทีมเศรษฐกิจที่เหมาะสม และมีประวัติการทำงานที่ดีจึงมั่นใจว่าจะสามารถประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศได้อย่างต่อเนื่อง
ส.อ.ท.หนุนรัฐลดค่าไฟ ลดต้นทุน
นายนาวา กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้าลงหน่วยละ 4 ส.ต.หากทำได้จะเป็นก้าวแรกที่สำคัญ เพราะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพประชาชน และลดต้นทุนผู้ประกอบการ แม้จะไม่มากนักแต่สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาล
“แม้ลดได้เพียง 4 สตางค์แต่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของเอกชนเมื่อเทียบกับอาเซียนที่ต้นทุนยังต่ำกว่าไทยก็ขอขอบคุณ แต่ภาคเอกชนหวังจะลดได้มากกว่านี้ โดยต้องไม่กระทบความมั่นคงพลังงาน และต้องการเสนอรัฐบาลผลักดันพลังงานทดแทน โดยเฉพาะไบโอดีเซลจากพืชเกษตรที่ไทยมีศักยภาพสูง และราคาตกต่ำ
อีกประเด็นสำคัญคือ ค่าเงินบาทแข็งค่า กระทบการส่งออกอย่างมาก ขณะที่เวียดนามได้เปรียบจากค่าเงินที่ไม่แข็งเท่าไทย โดยเรื่องนี้ส.อ.ท.ได้หารือร่วมกันกับทีมเศรษฐกิจของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไปแล้ว และมีการรับปากจะเร่งดำเนินการ
“อนุทิน” นัดหารือหอการค้าไทย
รายข่าวจาก หอการค้าไทย ระบุว่า วันที่ 18 ก.ย.2568 นายกรัฐมนตรีมีกำหนดหารือกับนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
สำหรับการหารือจะมีประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจ ซึ่งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยจะหยิบประเด็นสถานการณ์และข้อเสนอแนะที่ได้รวบรวมจากหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย หอการค้าไทยทั่วประเทศ และสมาคมการค้า อาทิ
1.โครงการคนละครึ่ง เสนอวงเงินค่าใช้จ่าย 1,500 บาท/เดือน ระยะเวลา ต.ค.- พ.ย.2568
2.โครงการ Easy E-Receipt เฟส 2 เสนอวงเงิน 100,000 บาท (รวมทุกหมวดสินค้า) ระยะเวลา พ.ย.- ธ.ค.2568
3.มาตรการอสังหาริมทรัพย์เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงลดหย่อนเก็บภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ไม่น้อยกว่า 50% จนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว
4.มาตรการการท่องเที่ยว รวมถึงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึงสร้างความเชื่อมั่น และความปลอดภัยนักท่องเที่ยวจีนเชิญผู้นำระดับสูงของจีนเยือนไทย
สภาตลาดทุนจ่อหารือ “คลัง” ถกแผนดึงเชื่อมั่น
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และประธานสภาตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สภาตลาดทุนไทยเตรียมยื่นหนังสือเข้าพบ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอหารือในการหาแนวทางกระตุ้นเศรฐกิจ และตลาดทุนไทย
สำหรับข้อเสนอหลักๆ ที่จะนำเข้าหารือคือ แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลระยะสั้น แต่มองเป็นโอกาสในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นรูปธรรมอย่างมีเสถียรภาพ พร้อมกับผลักดันนโยบายเร่งด่วนให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ที่จะผลดีต่อประเทศไทย หลักๆ คือ
1.ให้ภาครัฐผลักดันแนวคิด TISA (Thailand Individual Savings Account) ที่เป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้นที่เปิดให้นักลงทุนที่ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลงทุนหุ้นไทยมากขึ้น
ขณะที่แพ็กเกจ TISA ที่ FETCO เตรียมเสนอกระทรวงการคลัง จะรวมการต่ออายุกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยาว (SSF) ที่ครบกำหนดอายุปี 2568
2.มาตรการดึงนักลงทุนต่างชาติลงทุนไทยเพิ่ม โดยต้องการให้รัฐบาลเพิ่มงบประมาณ และบุคลากรให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อย่างน้อย 3 เท่า เพื่อดึงลงทุนต่างชาติเพิ่ม ซึ่งคำขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมา สูงถึง 1 ล้านล้านบาท
“เช่นเดียวกันการผลักดันการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อให้ดึงดูดลงทุนมากขึ้น และโครงการใน EEC ที่ยังติดขัดอยู่ให้เดินหน้าได้ในช่วง 8 เดือนข้างหน้า”
3.โครงการคนละครึ่ง ที่เป็นโครงการระยะสั้นที่ควรดำเนินการ
4.การพัฒนา “ท่าเรือตะวันตก” เพียงโครงการเดียว หรืออย่างน้อยที่สุดคือ การทำท่าเรือเบื้องต้นที่ระนอง เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญในการส่งสินค้าไปอินเดียที่จะเป็นตลาดแห่งอนาคต ดังนั้นหากเชื่อมโยงจากทั่วประเทศ เช่น เชียงราย หนองคาย แหลมฉบัง ไปท่าเรือระนองได้มีประสิทธิภาพโครงการนี้จะสำคัญมาก
5.การส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยควรเพิ่มงบประมาณให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพราะเห็นโอกาสดึงนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ซึ่งจะเป็น “ควิกวิน” ที่ทำได้เลยช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างมากหลังจากนี้
6.การส่งออก โดยควรเพิ่มงบประมาณให้กระทรวงพาณิชย์เพื่อหาตลาดส่งออกใหม่ ซึ่งไทยไม่ควรพึ่งตลาดสหรัฐมากเกินไป และการตั้งเป้าหมายลดสัดส่วนการพึ่งพาสหรัฐจาก 20% ให้เหลือต่ำกว่า 10% ภายใน 3 ปี และควรเพิ่มการส่งออกไปอาเซียน อินเดีย ยุโรป และแอฟริกาให้มากขึ้นที่ถือเป็นตลาดที่มีโอกาสสูง
7.การฟื้นความเชื่อมั่นประเทศ โดยรัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นเพื่อสื่อสารข่าวดีไปสู่โลกภายนอกเป็นระบบ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาที่เป็นความสำเร็จที่ชัดเจนสุดช่วงนี้ และควรสื่อสารการส่งออกที่ดีขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







