'ศุภวุฒิ' ชี้เก็บภาษีทองไม่ช่วยแก้ ‘บาทแข็ง’ แนะหาที่มาเงินไหลเข้าปริศนา 3 พันล้านดอลลาร์/ไตรมาส

ประธานบอร์ดสภาพัฒน์ เตือนการเก็บภาษีซื้อขายหรือส่งออกทองคำ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ซ้ำเติมผู้ค้าทองคำ และทำให้สภาพคล่องหด แนะรัฐควรหาคำตอบเงินไหลเข้าปริศนา “error and omission”
KEY
POINTS
- ประธานบอร์ดสภาพัฒน์ เตือนการเก็บภาษีซื้อขายหรือส่งออกทองคำไม่ใช่ทางแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ซ้ำเติมผู้ค้าทองคำ และทำให้สภาพคล่องหด
- แนะรัฐควรหาคำตอบเงินไหลเข้าปริศนา “error and omission” ที่สูงถึง 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส ซึ่งมีผลต่อค่าเงินบาทมากกว่าการค้าทอง
- ชี้ไทยเกินดุลบัญชีเงินสะพัดต่อเนื่องสูงถึงเดือนละ 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
- พร้อมชี้ดอกเบี้ยสหรัฐลดแรง ดันดอลลาร์อ่อน ทำให้โอกาสบาทอ่อนแทบไม่มี ขณะที่เงินเฟ้อไทยยังต่ำกว่าสหรัฐมาก
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานบอร์ดคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ วันนี้ (18 ก.ย.) ว่าแนวคิดที่จะมีการเก็บภาษีการซื้อขายทองคำออนไลน์ หรือการส่งออกทองคำนั้นไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งที่ถูกทาง เนื่องจากประเทศไทยมีการนำเข้าทองคำสุทธิอยู่แล้วโดยเรามีการส่งออกทองคำอยู่บ้าง แต่ส่วนต่างการซื้อขายทองนั้นถือว่าเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่มากคือ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด คือ การที่มีเงินไหลเข้ามา มีเงินที่เป็นแคลชโฟลว์ไหลเข้ามาตลอด และมีความต้องการที่จะแลกเงินดอลลาร์มาเป็นเงินบาทจำนวนมากทำให้ค่าเงินบาทแข็ง
เงินปริศนาไหลเข้าไตรมาสละ 3 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องซึ่งประเทศไทยมีปัญหานี้จริงๆ 3 ปีที่ผ่านมา เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวที่มีความต้องการซื้อเงินบาทมากกว่าการที่ต้องการขายเงินบาทมาโดยตลอด
โดยในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของดุลบัญชีเดินสะพัดมีปัญหาเรื่องของ error and omission คือ เมื่อเอาบัญชีดุลสะพัดมากางนั้นจะเห็นว่าเมื่อการส่งออก และนำเข้า
เมื่อมีการบวกลบรายการต่างๆ นั้นไม่ตรงกัน ซึ่งเรียกว่ามีส่วนของการคลาดเคลื่อน และการตกหล่น โดย error and omission นั้นมีการเพิ่มขึ้นผิดปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับจู่ๆ ก็มีเงินไหลเข้ามาในประเทศไทย แล้วธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือหน่วยงานเศรษฐกิจที่ช่วยกันดูนั้นบอกไม่ได้ว่าเป็นเงินมาจากไหน แล้วเข้ามามากจริงๆ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ ต่อไตรมาส ซึ่งไม่รู้ที่มาว่ามาจากไหน แล้วไม่ได้อยู่ในบัญชีอะไรเลย ซึ่งเข้ามาตั้งแต่ช่วงปลายๆ โควิด-19 ซึ่งเงินจำนวนนี้เมื่อไปเทียบกับการส่งออกทองนั้นในส่วนนี้มีผลมากกว่า
“ตรงนี้ต้องไปคุ้ยดูว่าเงินส่วนนี้นั้นมาอย่างไร ควรจะไปแก้ตรงนี้มากกว่าจะไปกำหนดการเก็บภาษีการซื้อขายทองคำออนไลน์ อยากให้ไปดูเพราะตัวเลขผิดปกติมากๆ ซึ่งต่างจากในอดีตที่เรามีเงินไหลออกแบบไม่รู้ที่ไปไม่รู้แหล่งประมาณ 500 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส แต่ตอนนี้เรามีเงินที่ไม่รู้ที่มาซึ่ง ธปท.เรียกว่า error and omission ซึ่งไม่ตรงกับที่บันทึกในบรรทัดต่างๆ ในบัญชีซึ่งถือว่าสูงมากถึงไตรมาสละ 3,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินจำนวนนี้ทำให้ค่าเงินบาทแข็งมากขึ้น และแข็งค่าเร็วมาก” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
ดร.ศุภวุฒิ กล่าว และย้ำว่าการจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงโดยไปทำในเรื่องของการค้าทองคำจึงไม่ค่อยตอบโจทย์ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ เรื่องของการทำให้การค้าทองชะงักลงไปบ้าง แต่กลายเป็นว่าการไปลงโทษคนที่เขาค้าขายทองโดยปกติมากกว่า สภาพคล่องในการค้าทองจะหายไปเลย กลายเป็นว่ามีการเข้าไปแทรกแซงทำให้กระทบทั้งคนซื้อ และคนขาย ทำให้มีต้นทุนเพิ่ม ทำให้ผู้ค้าทองคำออกมาโวยวายได้
เขาอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าทองคำนั้นเป็นตัวยึดโยงกับมูลค่าของเงิน เวลาที่ตลาดเริ่มมองเห็นว่าธนาคารกลางหลักๆ ของประเทศต่างๆ ไม่มีวินัยทางการเงินนั้นราคาทองคำจะปรับขึ้น ดังนั้นเมื่อนโยบายของทรัมป์ นโยบายของEU และนโยบายการเงินของญี่ปุ่น มีนโยบายที่ผ่อนคลายทางการเงินมาก อาจมีการพิมพ์เงินออกมามากขึ้น ราคาทองจึงปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า 40% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักของโลก ซึ่งไม่ได้สะท้อนว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ดีแต่สะท้อนว่านโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไปทั่วโลก สะท้อนว่าตลาดกำลังมองว่าธนาคารหลักของโลกไม่มีวินัยทางการเงินมากกว่า
ปัจจัยดอกเบี้ยสหรัฐหนุนค่าบาทแข็ง
นอกจากนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็ง และเงินดอลลาร์อ่อนค่าคือ สหรัฐพึ่งจะมีการลดดอกเบี้ยไปเมื่อคืนนี้ (17 ก.ย.68) และคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) บอกว่าจะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีหน้า หรือประมาณ 0.75% ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของเรานั้นในการประชุมครั้งหน้ายังไม่แน่ใจว่าจะมีการลดดอกเบี้ยหรือไม่ และการประชุมในปีนี้นั้นก็เหลือการประชุมอีกแค่ครั้งเดียว เท่ากับว่าดอกเบี้ยสหรัฐนั้นจะลงแรง และมีแรงกดดันทางการเมืองให้มีการลดดอกเบี้ยลงมามากๆ
ปัจจัยต่างๆ แบบนี้ทำให้เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงไปอีกมากขณะที่โอกาสที่ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงนั้นไม่มี นอกจากนั้นอัตราเงินเฟ้อของไทยยังต่ำกว่าสหรัฐมากของเรานั้นเงินเฟ้อนั้นไม่ถึง 2% แต่เงินเฟ้อของสหรัฐนั้นอยู่ที่ประมาณ 3%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







