ชาวนา 3.3 ล้านครัวเรือนแห่รับ‘ไร่ละพัน’ ‘เกษตร’ตรวจข้อมูลก่อนส่ง‘ธกส.’เร่งจ่าย

เกษตรเปิดตัวเลขชาวนาลงทะเบียน-ผ่านคุณสมบัติ ร่วมโครงการจ่ายไร่ละพัน 3.3 ล้านครัวเรือน ขณะธกส.เดินหน้าจ่ายแล้ว ตามมติ
ครม. เป้าหมาย 4.63 ล้านครัวเรือน วงเงิน 3.7 หมื่นล้านบาท
ภายหลังจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 เห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 เกษตรกรเป้าหมาย 0.861ล้านครัวเรือน งบประมาณ 7,286.77 ล้านบาทและโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ปีการผลิต 2568/69 เกษตรกรเป้าหมาย 4.63ล้านครัวเรือน งบประมาณ 37,917.23 ล้านบาท ซึ่งจะมีการจ่ายเงินไร่ละ 1,000 บาท กำหนดไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ 10,000 บาท ดังนั้น เกษตรกรที่ทำการเพาะปลูกมากกว่า 10 ไร่ จะได้สิทธิสูงสุด 10 ไร่
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ขอแจ้งความคืบหน้าการส่งข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) (ตามข้อมูล ณ 12 ก.ย. 2568)
1. การส่งข้อมูลตามโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังฯ ได้จัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. แล้วจำนวน 845,122 ครัวเรือน เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 โดย ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยจ่ายเงินตามรอบการโอนเงินแล้ว และในวันที่15 ก.ย. 2568 จะส่งเพิ่มเติมอีกจำนวน4,779 ครัวเรือน
เร่งตรวจกลุ่มไม่ได้เงินให้จบในก.ย.นี้
สำหรับข้อมูลคงเหลือเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง และดำเนินการอย่างรัดกุมส่วนเกษตรกรที่ทำนาปรังและตรวจเช็คสถานะแล้วพบว่าไม่ได้รับเงินขอให้ตรวจสอบและติดตามแก้ไขก่อนสิ้นสุดโครงการ30 ก.ย.นี้
2. การส่งข้อมูลตามโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีฯ 2568/69ได้จัดส่งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. แล้ว จำนวน 1,820,015 ครัวเรือน เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2568 โดย ธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยจ่ายเงินตามรอบการโอนเงินแล้วและในวันที่ 15 ก.ย. 2568 จะส่งเพิ่มเติมอีกประมาณ 1.57 ล้านครัวเรือนรวมแล้วกว่า 3.39 ล้านครัวเรือนคิดเป็น 73.20% ของโครงการ และ 76.43% ของจำนวนเกษตรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร
3. เกษตรกรที่ยังคงเหลือตามเป้าหมายโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีฯ 2568/69 ประมาณ 1.7 ล้านครัวเรือน อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบตามคู่มือการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ปี 2568/2569 เช่น การปิดประกาศ การประชาคมโดยเกษตรกรจะต้องลงลายมือชื่อรับรองการประชาคมทุกครั้ง เพื่อรับรองข้อมูลของตนเองซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ
ลุยกลุ่มข้าวนาปี-ภาคใต้ถึงก.ย.69
กรมฯ จะตรวจสอบความถูกต้อง และตัดยอดตามรอบการรวบรวมข้อมูล (เดือนละ 2 ครั้ง) จนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้ ช่วงการเพาะปลูกข้าวนาปี 2568/69 ของไทย จะอยู่ในช่วงเดือนเม.ย.-ต.ค. 2568 ที่ซึ่งแตกต่างกันตามสภาพพื้นที่ และสภาพภูมิอากาศ และสำหรับภาคใต้ 9 จังหวัด ช่วงการเพาะปลูกข้าวนาปี 2568/69 ของไทย จะอยู่ในช่วงเดือนมิ.ย. 2568 - ก.พ. 2569 ดังนั้น ข้อมูลเกษตรกรจะทยอยส่งให้ ธ.ก.ส. จนถึงเดือนส.ค. 2569 ตามรอบการเพาะปลูกของเกษตรกร ด้วยเหตุผลข้างต้น จากนั้น ธ.ก.ส. จะดำเนินการตรวจสอบและโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีเงินฝากของเกษตรกรจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการ ในเดือนก.ย. 2569
สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ภาคใต้ 9 จังหวัด ช่วงการเพาะปลูกข้าวนาปี 2568/69 จะอยู่ในช่วงระหว่างเดือนมิ.ย. 2568 - ก.พ. 2569เกษตรกรหลังจากการเพาะปลูก 15 - 60 วัน ให้สามารถดำเนินการปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร
ช่องทางชาวนาตรวจข้อมูลโดยตรง
นายพีรพันธ์ กล่าวอีกว่า ขอเน้นย้ำเกษตรกรที่แจ้งขึ้นทะเบียนเกษตรกรแล้วให้ตรวจสอบและลงชื่อในแบบติดประกาศ และ/หรือเข้าร่วมและลงชื่อในการประชาคม เนื่องจากเกษตรกรต้องรับรองข้อมูลของตนเองหากไม่ลงลายมือชื่อ จะถือว่าไม่ผ่านการตรวจสอบและข้อมูลจะไม่ถูกส่งเข้าร่วมโครงการ
"เกษตรกรสามารถตรวจสอบสถานะการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและสถานะการเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอที่แจ้งขึ้นทะเบียน , แอปพลิเคชัน FARMBOOK,เว็บไซต์ efarmer.doae.go.th สำหรับตรวจสอบการโอนเงิน ของ ธ.ก.ส. เช็คได้ที่ เว็บไซต์ https://govtransfer.baac.or.th, แอปพลิเคชัน BAAC Mobile, บริการ LINE Official BAAC Family
ทั้งนี้ ขอให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้อง และโปรดมั่นใจว่าไม่มีการตัดสิทธิ์โดยไม่เป็นธรรม กรมส่งเสริมการเกษตรปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบราชการ ทุกประการเพื่อรักษาความเป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้
การค้าข้าวโลกยังโคม่าราคาร่วง
รายงานสถานการณ์การค้าข้าวโลก จากข้อมูล Rice Outlook: August 2025 จัดทำและเผยแพร่โดย กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA)ระบุว่า ตลาดข้าวโลกยังเผชิญกับสถานการณ์ราคาข้าวที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกอย่างสหรัฐ ปากีสถาน และไทย ตรงกับข้ามกับเวียดนามที่ราคาปรับสูงขึ้น ส่วนกลุ่มที่ราคาไม่เปลีี่ยนแปลงได้แก่ อาร์เจนตินาและอินเดีย เป็นผลมาจากตลาดแอฟริกามีความต้องการซื้อลดลง ทำให้กลุ่มผู้ส่งออกในตลาดเอเชียต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาอีกครั้ง แต่ยกเว้นเวียดนามที่มีตลาดฟิลิปปินส์ และแอฟริกา เป็นผู้ซื้อสำคัญจึงทำให้ราคาข้าวเวียดนามเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20 ดอลลาร์ต่อตันในช่วงต้นเดือนส.ค.ที่ผ่านมา







