ปฏิรูปตลาดทุนไทยทางออกพ้นกับดักเศรษฐกิจ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหากับดักรายได้ปานกลาง วิกฤตหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยที่ขาดแคลนแรงงาน และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็น “กับดัก” ที่ฉุดรั้งการเติบโตของประเทศ ในขณะที่นานาชาติเริ่มก้าวแซงหน้าไปแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ “ตลาดทุนไทย” จึงถูกมองว่าเป็นกลไกสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นแหล่งระดมเงินทุนหลักของประเทศ
อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยเองก็เผชิญปัญหาการระดมทุน สภาพคล่อง และประเด็นธรรมาภิบาลที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กับดักกฎหมาย” ที่ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น ภารกิจเร่งด่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องฝากให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการก็คือการ “ปลดล็อกกับดักกฎหมาย” และ “พลิกโฉมตลาดทุนไทย” ให้กลับมาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ
แม้รัฐบาลจะมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน แต่การผลักดันกฎหมายเหล่านี้สามารถทำให้เป็นจริงได้จริง หากถือเป็น“วาระแห่งชาติ”และดำเนินการผ่านการใช้กฎหมายแบบ Omnibus การตั้งคณะกรรมการพิเศษ และการพิจารณาออกเป็น พ.ร.ก. เพื่อบังคับใช้ทันที “ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ประธานกรรมการ ตลท. เน้นย้ำว่า นี่คือ“โอกาสเดียวที่จะปฏิรูปตลาดทุนไทยอย่างมีนัยสำคัญให้สำเร็จใน 4 เดือน”ซึ่งหากทำสำเร็จจะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อตลาดทุนไทย และช่วยให้ไทยก้าวพ้นกับดักต่างๆ ได้
โดยการปฏิรูปตลาดทุนควรครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. การบังคับใช้กฎหมายและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็ว โดยเสนอให้ ก.ล.ต. มีบทบาทเป็น “พนักงานสอบสวนในคดีที่มีผลกระทบสูง”, 2. การคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย ผ่านการแจ้งข้อมูลการนำหุ้นไปค้ำประกัน, 3. การอำนวยความสะดวกในการระดมทุน เช่น การสร้างตลาดใหม่สำหรับ New Economy และการใช้ระบบ “Disclosure-based” แทนเกณฑ์กำไร 3 ปี 4. การปรับปรุงกระบวนการ IPO ให้รวดเร็วและผ่อนปรนข้อจำกัดสำหรับบริษัทต่างชาติ, และ 5. การปลดล็อกข้อจำกัดที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ข้อกำหนดกรรมการ 1 ใน 3 ต้องอยู่ในไทย
ขณะเดียวกัน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ภายใต้การนำของ “ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ก็เตรียมยื่นข้อเสนอเร่งด่วนต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันแนวคิด TISA (Thailand Individual Savings Account) เพื่อส่งเสริมการลงทุนในหุ้นไทย
การปฏิรูปกฎหมายตลาดทุนรอบนี้หากทำได้สำเร็จ จะส่งผลดีมหาศาลในการ “พลิกโฉมตลาดทุนไทย” ด้วยการเพิ่มความโปร่งใส ดึงดูดนักลงทุนและบริษัทระดับโลก สู่การเป็น Regional Hub ที่น่าสนใจ รวมถึงการลดปัญหาคอร์รัปชัน และสร้างความเชื่อมั่นในยุคดิจิทัล ในวาระครบรอบ 38 ปี “กรุงเทพธุรกิจ” จึงขอนำเสนอทิศทางการหลุดพ้นจากกับดักเหล่านี้ พร้อมจัดการสัมมนาใหญ่ประจำปี “Thailand Economic Outlook 2026” ภายใต้แนวคิด “Out of the Trap” ในวันที่ 9 ต.ค.2568 เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ประเทศเพิ่มอีกทางหนึ่งด้วย







