ถอดโมเดลพลิกโฉมเศรษฐกิจ ‘สิงคโปร์’ ฝ่าความท้าทายกติกาโลกใหม่

สิงคโปร์เน้นการลงทุนใน "คน" ผ่านโครงการ SkillsFuture เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการค้าเชิงรุกผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) แนะประเทศในอาเซียนเปลี่ยนการแข่งขันกันเอง มาเป็นการร่วมมือกันเพื่อเติบโตในเวทีโลก เช่น การเชื่อมโยงระบบชำระเงินดิจิทัล ตลาดทุน และการลงทุนระหว่างกัน
KEY
POINTS
- สิงคโปร์เน้นการลงทุนใน "คน" ผ่านโครงการ SkillsFuture เพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการค้าเชิงรุกผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)
- แนะประเทศในอาเซียนเปลี่ยนการแข่งขันกันเอง มาเป็นการร่วมมือกันเพื่อเติบโตในเวทีโลก เช่น การเชื่อมโยงระบบชำระเงินดิจิทัล ตลาดทุน และการลงทุนระหว่างกัน
งานสัมมนา “The Future Forum 2025: The Great Transformation” ซึ่งจัดโดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2568 ได้มีการนำเสนอวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การพลิกโฉมเศรษฐกิจที่น่าจับตาจากสองประเทศผู้นำในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์ โดยได้รับเกียรติจาก นายเฮง สวี เกียต อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “การพลิกโฉมเศรษฐกิจเพื่อผู้คนและโลก” (Economic Transformation for People and Planets)
นายเฮง สวี เกียต กล่าวว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่านเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีบทบาทสำคัญในการดึงผู้คนให้พ้นจากความยากจนในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่ปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวลงของการส่งออกโลกในยุคอวสารของโลกาภิวัตน์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขึ้นของหนี้สินทั่วโลกหลังวิกฤติเศรษฐกิจและความท้าทายด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ที่นักการเมืองมักมุ่งเน้นนโยบายระยะสั้น
นายเฮง สวี เกียต กล่าวต่อว่า แนวโน้มเชิงโครงสร้างหลักที่กำลังกำหนดเศรษฐกิจโลกมี 4 ประการ ได้แก่ 1. De-globalization หรือการล่มสลายของโลกาภิวัตน์ ซึ่งทำให้การค้าเสรีจะเปลี่ยนแปลงไป เน้นความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน 2. Decarbonization การลดคาร์บอนกับปัญหาโลกรวนที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและผลกระทบต่อเกษตรกรรม
3. Digitalization การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ทั้งเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกภาคส่วน 4. Demographic Challenges ความท้าทายด้านประชากรศาสตร์ หลายประเทศที่กำลังก้่าวสู่สังคมสูงวัย โดยเฉพาะในเอเชีย จะนำไปสู่คำถามเรื่องการใช้แรงงานหนุ่มสาวในยุค AI และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับแนวโน้มเหล่านี้ สิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศเล็กที่พึ่งพาการค้าสูงถึงสามเท่าของ GDP ได้ดำเนินนโยบายเชิงรุก โดยการขยายความร่วมมือทางการค้า ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 28 ฉบับ ครอบคลุมการส่งออกกว่า 90% และบริการกว่า 85% ทั้งกับกลุ่มความร่วมมือ ASEAN, RCEP, CPTPP และข้อตกลงทวิภาคี
เดิมพันกับ “คน” ในวันที่โลกเปลี่ยน
สิงคโปร์ตระหนักว่าทรัพยากรที่มีค่าที่สุดคือ “คน” จึงริเริ่มโครงการ SkillsFuture ซึ่งเป็นนโยบายระดับชาติที่มุ่งสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) อย่างเป็นรูปธรรม โดยมอบเครดิตการเรียน เริ่มต้น 500 ดอลลาร์สิงคโปร์ ให้พลเมืองอายุ 25 ปีขึ้นไปทุกคน และสนับสนุนเพิ่มเติมอีก 4,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อส่งเสริมการปรับทักษะ (Reskill) และเพิ่มทักษะ (Upskill) ส่งผลให้แต่ละปีมีแรงงานกว่า 500,000 คน หรือประมาณ 20% ของกำลังแรงงานเข้าร่วม และเกือบทั้งหมดที่ผ่านโปรแกรมเปลี่ยนสายอาชีพ ได้งานใหม่พร้อมค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น
นายเฮง สวี เกียต กล่าวว่า เพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนควรเปลี่ยนมุมมองจากการแข่งขันกันเอง ไปสู่การร่วมมือกันเพื่อเติบโตในเวทีโลก ท่านเปรียบเทียบว่า การที่ประเทศในอาเซียนมัวแต่แข่งขันกันเองในตลาดเล็กๆ ที่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างบอบช้ำ แต่ควรจะร่วมมือกัน ซึ่งยังมีโอกาสใหม่ๆ และน่านน้ำที่ยังไม่มีใครเข้าไปจับจองอีกมหาศาล อาทิ การเชื่อมโยงระบบชำระเงินดิจิทัล ความสำเร็จของ PromptPay และ PayNow ที่อำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและภาคธุรกิจ การเชื่อมโยงตลาดทุน การทำ Cross-listing ของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน
นอกจากนี้ การลงทุนระหว่างกัน บริษัทไทยที่ไปลงทุนในสิงคโปร์และบริษัทสิงคโปร์ที่มาลงทุนในไทย ต่างก็ช่วยสร้างงานและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่กัน รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในการสร้างความร่วมมือ
โดยเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างไทยกับสิงคโปร์ จากนั้นขยายไปสู่ระดับอาเซียน และเชื่อมโยงเครือข่ายนี้เข้ากับคู่ค้าสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น เพื่อสร้างพลังและโอกาสการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
“ผู้นำจะต้องมีความกล้าหาญทางการเมืองในการเลือกใช้ 'ยาขม' หรือนโยบายปฏิรูปโครงสร้างระยะยาวที่จำเป็นต่อการสร้างความแข็งแกร่งที่ยั่งยืน แทนที่จะเลือก 'ขนมหวาน' หรือนโยบายประชานิยมที่ให้ความสุขระยะสั้น แต่ก่อให้เกิดภาระหนี้มหาศาล” นายเฮง สวี เกียต กล่าว







