สภาพัฒน์ เปิดข้อมูล 10 จังหวัดยากจน 5 จังหวัด เจอภาวะยากจนเรื้อรัง

สภาพัฒน์ เปิดข้อมูล 10 จังหวัดยากจน  5 จังหวัด เจอภาวะยากจนเรื้อรัง

“สภาพัฒน์” เผยรายงานสถานการณ์ความยากจนปี 2567 เปิด 10 จังหวัดยากจนมากสุด ขณะที่ 5 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก เผชิญความยากจนเรื้อรังต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • “สภาพัฒน์” เผยรายงานสถานการณ์ความยากจนปี 2567 เปิด 10 จังหวัดยากจนมากสุด
  • ขณะที่ 5 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก เผชิญปัญหาความยากจนเรื้อรังต่อเนื่องมานานกว่า 15 ปี
  • ความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างระหว่างภูมิภาคที่ยังคงรุนแรง  ความเจริญยังคงกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และภาคกลาง
  • ส่วนภาคเหนือ อีสาน และใต้ครัวเรือนเปราะบาง เสี่ยงต่อความยากจน

เมื่อเร็วๆนี้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เปิดเผยรายงานสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยในปี 2567 โดยข้อมูลล่าสุดในสถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำปี 2567 โดยพบจำนวนคนจนเพิ่มขึ้นเป็น 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งประเทศ เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 3.41% โดยในปีนี้ได้ปรับเส้นความยากจนปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน จากเดิม 3,043 บาทต่อคนต่อเดือน

สำหรับข้อมูลสัดส่วนคนจนจำแนกรายจังหวัด สศช.ได้เปิดเผยข้อมูลในรายงานว่า

จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงที่สุดเป็น 10 อันดับแรก ได้แก่

  1. แม่ฮ่องสอน
  2. ยะลา
  3. ปัตตานี
  4. นราธิวาส
  5. อุบลราชธานี
  6. สระแก้ว
  7. พัทลุง
  8. ศรีสะเกษ
  9. เชียงราย
  10. ตาก

โดยมีข้อมูลจังหวัดที่มีสัดส่วนความยากจนสูงสุด 10 อันดับ เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่  

  1. แม่ฮ่องสอน  25.69%
  2. ยะลา 25.41%
  3. ปัตตานี 25.39%
  4. นราธิวาส  21.07%
  5. อุบลราชธานี  20.34%
  6. สระแก้ว 16.00%
  7. พัทลุง  15.74%
  8. ศรีสะเกษ 14.08%
  9. เชียงราย  13.69%
  10. ตาก  13.37%

ทั้งนี้จากข้อมูลของสศช.ระบุว่า จ.แม่ฮ่องสอนและจ.ปัตตานีอยู่ใน 5 อันดันดับแรก ของจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังใน จังหวัดดังกล่าว

นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2567 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และตาก มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มี สัดส่วนคนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง

ทั้งนี้หากพิจารณาเรื่องความยากจนจำแนกเป็นภูมิภาคของไทย พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความแตกต่างเชิงโครงสร้าง ระหว่างภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่สมดุลนี้สะท้อนชัดทั้งในมิติเศรษฐกิจและมิติสังคม และได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของปัญหาความเหลือมล้ำที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการเติบโตของประเทศในระยะยาว

สภาพัฒน์ เปิดข้อมูล 10 จังหวัดยากจน  5 จังหวัด เจอภาวะยากจนเรื้อรัง

ความเหลื่อมล้ำในเชิงเศรษฐกิจ ความเจริญยังคงกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และภาคกลาง โดยกรุงเทพฯ มีแรงงานกว่า 25% อยู่ในภาคบริการสมัยใหม่ ครอบคลุมสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี การเงิน การแพทย์ และการสื่อสาร ขณะที่ภาคกลางยังคงเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ทั้งสองพื้นที่ดึงดูดเงินลงทุนและแรงงานจำนวนมาก สร้างความได้เปรียบเหนือภูมิภาคอื่น

ในทางตรงกันข้าม ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ยังคงพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยเฉพาะภาคอีสานที่มีแรงงานในภาคเกษตรมากกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งภูมิภาค ทำให้ครัวเรือนมีความเปราะบางและเสี่ยงต่อความยากจนสูง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญปัจจัยภายนอก เช่น ภัยธรรมชาติหรือความผันผวนของราคาสินค้าเกษตร ซึ่งกระทบต่อรายได้และความมั่นคงของครัวเรือน รวมถึงส่งผลต่อเนื่องไปยังอุตสาหกรรมแปรรูปและบริการที่เกี่ยวข้อง

ด้านสังคม พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงสุดที่ 31.9% ตามด้วยภาคอีสานที่ 28.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศที่ 24.97% ซึ่งอาจกลายเป็นความท้าทายด้านกำลังแรงงานและเพิ่มภาระการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต

ในขณะที่กรุงเทพฯ มีประชากรวัยแรงงานมากที่สุด สะท้อนบทบาทในการดึงดูดแรงงานจากต่างภูมิภาค ส่วนภาคใต้และอีสานมีสัดส่วนประชากรวัยเด็กสูงที่สุดของประเทศ แสดงถึงศักยภาพด้านทุนมนุษย์ หากได้รับการลงทุนด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะอย่างเหมาะสม ก็จะเป็นกำลังแรงงานคุณภาพในอนาคต