ออมสิน พร้อมรับนโยบายรัฐบาล หนุน “คนละครึ่ง” ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ

ออมสิน พร้อมรับนโยบายรัฐบาล หนุน “คนละครึ่ง” ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ

ออมสิน พร้อมรับนโยบายรัฐบาล หนุนโครงการ “คนละครึ่ง” เสนอแชร์ข้อมูลการเดินบัญชี ช่วยผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ เร่งเครื่องครึ่งปีหลังเตรียมออกซอฟต์โลนแสนล้าน

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสิน มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่ง” เฟสใหม่ ตามที่รัฐบาลชุดใหม่กำลังพิจารณานำกลับมาใช้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออมสินพร้อมนำระบบและแอปพลิเคชัน “MyMo” เข้าร่วมเชื่อมต่อกับระบบการรับจ่ายเงินของโครงการได้ ซึ่งธนาคารมีร้านค้าในระบบหลายหมื่นราย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกต่อประชาชน กระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยให้ธนาคารเข้าถึงข้อมูลประวัติการเดินบัญชี (transaction) ของผู้ประกอบการ

“หากผู้ประกอบการรายย่อยเลือกใช้ช่องทางการโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารออมสิน ธนาคารจะสามารถนำข้อมูลการเดินบัญชีเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และใช้ประกอบการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อร้านค้ารายย่อยซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของธนาคารออมสิน”

นายวีระชัย กล่าวต่อว่า การแชร์ข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบโดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องการเติมเงินทุนในการประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

“แม้การเชื่อมต่อระบบระหว่างธนาคารต่างๆ อาจต้องใช้เวลาเล็กน้อย แต่ธนาคารออมสินยืนยันถึงความพร้อมในการดำเนินการเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ”

นายวีระชัย กล่าวต่อว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้น โดยในระยะยาวธุรกิจจะต้องมีการปรับตัวเพื่ออยู่รอดให้ได้ท่ามกลางความไม่แน่นอน

โดยธนาคารประเมินว่าทั้งปี 2568 GDP จะขยายตัวได้ 2.0% และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้มากน้อยเพียงใด 

กำไรครึ่งปีแรก 1.6 หมื่นล้าน

“มองว่าปีนี้เป็นปีที่ภาคธุรกิจเรียกได้ว่าหืดขึ้นคอ สำหรับธุรกิจธนาคารเองคาดว่าจะมีผลประกอบการลดลงจากแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งในปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงหลายครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดเองทุกแบงก์ก็มีการตอบสนองเร็วในการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เช่นกัน”

ธนาคารมีการประเมินว่า กนง.มีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 1.0% ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าธนาคารก็คงได้รับผลกระทบไม่มากนัก โดยยังคาดว่าผลประกอบการทั้งปีของออมสินยังคาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งออมสินพยายามรักษาการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงภารกิจการเป็นธนาคารเพื่อสังคมไปพร้อมกัน

โดยยอด NPL ปัจจุบันของออมสินเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.4% เมื่อแยกเป็นรายกลุ่มสินเชื่อจะมีสัดส่วนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ทุกธนาคารมีมาตรการในการดูแลลูกค้า รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยเองที่ทำโครงการคุณสู้เราช่วย จึงคิดว่ายอดหนี้สุดท้าย NPL คงไม่ได้เพิ่มมากนัก

เร่งเครื่องครึ่งปีหลัง ปล่อยซอฟต์โลนแสนล้าน

นายวีระชัย กล่าวต่อว่า ธนาคารออมสินจึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเออมสินตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้

ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท

รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิ.ย.2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญแบ่งเป็น การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย

ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ “AI Optimized Loan Processing and Underwriting” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ “AI Chatbot for Branch” ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน