บางกอกโซลาร์ พาวเวอร์ ชี้โซลาร์ไทยโต แนะรัฐ ‘ขยายสิทธิภาษี-ปลดล็อกขั้นตอน’

"บางกอกโซลาร์ พาวเวอร์" ระบุ ตลาดโซลาร์ในไทยโต แนะรัฐบาล "อนุทิน" เร่ง ขยายสิทธิด้านภาษี พร้อมปลดล็อกขั้นตอนการขออนุญาต
เทรนด์การติดตั้งโซลาร์เซลล์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ขับเคลื่อนโลกไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งเป็นพันธกิจระดับโลกที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้จะเผชิญความท้าทายจากความไม่ชัดเจนด้านนโยบายรัฐ ท่ามกลางกระแสการลดต้นทุนและมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ประเทศ
ดร.ทิศพล นครศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บางกอกโซลาร์ พาวเวอร์ จำกัด หรือ BSP (Bangkok Solar Power Co., Ltd.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มที่เป็นบวก โดยบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้ง ถึงแม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะชะลอตัวลงบ้างเนื่องจากนโยบายภาครัฐที่ยังไม่ชัดเจนก็ตาม
ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลงานรวมในกลุ่มธุรกิจ Commercial & Industrial (C&I) กว่า 500 เมกะวัตต์ (MWp) ซึ่งแบ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง 80 เมกะวัตต์ และงานก่อสร้าง (EPC) ให้ลูกค้าอีกกว่า 400 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งโซลาร์รูฟให้กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและครัวเรือน (Small Business & Residential) ไปแล้วมากกว่า 5,000 หลังคาเรือน หรือประมาณ 200 เมกะวัตต์
สำหรับปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายกำลังการผลิตในประเทศเพิ่มอีก 100 เมกะวัตต์ และเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นซึ่งจะเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ (จากฐานเดิมกว่า 200 เมกะวัตต์) และที่เยอรมนีอีก 25 เมกะวัตต์ (จากฐานเดิมกว่า 150 เมกะวัตต์)
อย่างไรก็ตาม BSP โดดเด่นด้วยบริการแบบครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ ติดตั้ง และดูแลหลังการขาย ครอบคลุมลูกค้าทั้งภาครัฐ เอกชน และบุคคลธรรมดา โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย
1. C&I Solutions สำหรับลูกค้าภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนพลังงานอย่างยั่งยืน มีทั้งบริการแบบ EPC (Engineering, Procurement, and Construction) และ Private PPA (Power Purchase Agreement) โดยครอบคลุมทั้ง Solar Farm, Floating Solar, Solar Rooftop และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS)
2. Residential Solutions สำหรับครัวเรือน มีบริการติดตั้งโซลาร์รูฟเพื่อใช้ไฟเองภายในบ้าน รวมถึงระบบกักเก็บพลังงานแบบ BESS และ EV Charger ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ในปัจจุบัน
3. ESCO model รูปแบบการบริหารจัดการพลังงานแบบครบวงจรสำหรับหน่วยงานภาครัฐ โดยบริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับ PEA เพื่อลงทุนและรับผิดชอบระบบประหยัดพลังงาน และจะได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างค่าไฟที่ประหยัดได้
4. Operation & Maintenance บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบอย่างต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ทั้งการเฝ้าระวัง 24 ชม. การกู้คืนระบบ และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
5. Re-conditioning & Upgrade บริการปรับปรุงโรงไฟฟ้าแบบครบวงจร เช่น การเปลี่ยนแผงโซลาร์และอินเวอร์เตอร์ รวมถึงการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคต่างๆ
ดร.ทิศพล ย้ำว่า สิ่งที่ทำให้บริษัทฯ แตกต่างจากคู่แข่งคือ ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมานานกว่า 19 ปี ซึ่งถือเป็นบริษัทแรกของประเทศไทยที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์โดยตรง ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ จะไม่ทิ้งงาน เนื่องจากระบบโซลาร์เซลล์ต้องใช้งานต่อเนื่องยาวนานถึง 25 ปี
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับ ‘คุณภาพของอุปกรณ์ระดับสากล’ โดยเลือกใช้เฉพาะสินค้า Tier 1 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ชั้นนำของโลก เพื่อป้องกันปัญหาหลังการติดตั้ง และมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญกว่า 150 คน คอยควบคุมการออกแบบและติดตั้งให้ได้มาตรฐานสูงสุด ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น โดรนและหุ่นยนต์มาช่วยตรวจสอบและทำความสะอาด รวมถึงการใช้ AR (Augmented Reality) เพื่อช่วยควบคุมการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย
ดร.ทิศพล มองว่า แนวโน้มธุรกิจโซลาร์เซลล์ในไทยยังคงเป็นบวกอย่างมาก โดยมีปัจจัยสำคัญจากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุน ความต้องการของภาคเอกชนที่ต้องการลดต้นทุนและสร้าง Green Image เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าต่างประเทศภายใต้กฎระเบียบเช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป รวมถึงการบรรลุเป้าหมายของกลุ่มบริษัทใน RE100
อย่างไรก็ตาม ดร.ทิศพล ได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณา ขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนภาษี 200,000 บาท สำหรับการติดตั้งโซลาร์รูฟ (ซึ่งจะสิ้นสุดปี 2568) เนื่องจากมาตรการนี้ได้รับผลตอบรับดีมากจนทำให้ยอดจองพุ่งขึ้นถึง 4 เท่าตัว แต่ระยะเวลาที่เหลืออาจไม่เพียงพอต่อการติดตั้งให้ทัน ซึ่งหากรัฐบาลขยายเวลาออกไป จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานสะอาดได้มากขึ้น และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ภาครัฐลดขั้นตอนและปรับปรุงกระบวนการขออนุญาตที่ยุ่งยาก เพื่อให้การลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเรื่องง่ายขึ้นเหมือนในต่างประเทศ พร้อมทั้งเร่งพัฒนาโครงข่ายสายส่งให้พร้อมรองรับปริมาณไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
นอกจากตลาดในประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งเยอรมนีถือเป็นตลาดแรกที่เข้าไปบุกเบิกเมื่อ 15 ปีก่อน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขยายตลาดไปยังอินเดีย ซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศตะวันออกกลางด้วย
ดร.ทิศพล ทิ้งท้ายว่า ราคาของแผงโซลาร์และแบตเตอรี่ที่ลดลงกว่า 80% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้การลงทุนในโซลาร์เซลล์เข้าถึงได้ง่ายขึ้นมาก ซึ่งรวมถึงสิทธิประโยชน์จาก BOI และมาตรการภาษีต่างๆ ที่เป็นแรงผลักดันสำคัญให้พลังงานแสงอาทิตย์กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ต้องการลดต้นทุนอย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบัน
“การติดตั้งโซลาร์เซลล์จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น ‘ทางออก’ ที่จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความยั่งยืน และเป็นก้าวสำคัญที่พาประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างเป็นรูปธรรม”







