สบน. ยันพันธบัตรรัฐบาลยังแกร่ง ไร้ผลกระทบลดดอกเบี้ย รัฐระดมทุนได้ตามเป้า

สบน. ยันพันธบัตรรัฐบาลยังแกร่ง ไร้ผลกระทบลดดอกเบี้ย รัฐระดมทุนได้ตามเป้า

สบน. ยันพันธบัตรรัฐบาลไทยแข็งแกร่ง ไร้ผลกระทบ กนง. ลดดอกเบี้ย รัฐบาลยังระดมทุนได้ตามเป้า ชี้สัดส่วนต่างชาติลงทุนในบอนด์ไม่สูงนัก

KEY

POINTS

  • สบน. ยืนยันว่าพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงแข็งแกร่ง และการปรับลดดอกเบี้ยของ กนง. ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความต้องการลงทุน แม้ J.P. Morgan จะปรับลดมุมมองก็ตาม
  • ตลาดตราสารหนี้ไทยมีเสถียรภาพสูง เนื่องจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรโดยนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำ (9.3%) ทำให้ลดความผันผวนจากกระแสเงินทุนไหลออก
  • สบน. มั่นใจว่ารัฐบาลสามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีงบประมาณ 2568 เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่งและแผนการออกพันธบัตรที่ชัดเจน

จากกรณีที่ J.P. Morgan (เจพีมอร์แกน) สถาบันการเงินระดับโลก ได้ปรับลดมุมมองน้ำหนัก (rating) ตราสารหนี้รัฐบาลไทยในกลุ่ม Local Currency ลงสู่ระดับ “Underweight” ซึ่งบ่งชี้ถึงการแนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาด

การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการประเมินที่ว่าตลาดได้รับรู้ข่าวดีเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยไปมากแล้ว และคาดว่าเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ของไทยจะแบนราบกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค

ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน ระบุเหตุผลในการปรับลดน้ำหนักตราสารหนี้รัฐบาลไทยที่ชัดเจน แม้ว่าที่ผ่านมาตราสารหนี้ภาครัฐที่จ่ายดอกเบี้ยต่ำของไทยจะทำผลงานได้ดีเยี่ยม ทว่า ทางเจพีมอร์แกนประเมินว่า ตลาดได้รับรู้ข่าวดีเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากการเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยไปมากแล้ว

นอกจากนี้ ยังมองว่า เส้นอัตราดอกเบี้ยของไทยหลังจากนี้จะแบนราบกว่าประเทศอื่นๆ แม้จะอยู่ในกลุ่มตราสารหนี้ Local Currency เช่นเดียวกัน เจพีมอร์แกนยังระบุด้วยว่า ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียที่ใช้สกุลเงินท้องถิ่น (EM Asia LC) จะได้รับประโยชน์มากกว่า แต่ไม่ใช่ประเทศไทยและแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาตราสารหนี้ของประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้แทน

นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ ในฐานะโฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าผลการประมูลตราสารหนี้ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ย ไม่มีผลและไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการลงทุนของรัฐบาลโดยนักลงทุนในตลาดได้มีการรับรู้ข่าวดีเรื่องการลดดอกเบี้ยจาก กนง. และได้ “price in” การตัดสินใจนี้ในอัตราผลตอบแทนที่ปรับลดลงมาตลอดช่วงที่ผ่านมาแล้วนอกจากนี้ การประมาณการณ์ปริมาณการเสนอขายพันธบัตร (supply bond) ของรัฐบาลในปีงบประมาณหน้าที่มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับปีนี้ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ

โดย สบน. ได้วางแผนการระดมทุนสำหรับปีงบประมาณ 2568 ไว้ที่ 2,574,415 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อออกพันธบัตรอ้างอิง (Benchmark Bond) คิดเป็นสัดส่วนถึง 49% หรือ 1.25 ล้านล้านบาท เพื่อสร้างเส้นอัตราผลตอบแทนและเพิ่มสภาพคล่องในตลาดรองรวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนด (Refinancing) สัดส่วน 44% คิดเป็น 1.14 ล้านล้านบาท และการรองรับการขาดดุลงบประมาณ สัดส่วน 34% คิดเป็น 865,700 ล้านบาท โดยรัฐบาลยังคงใช้เครื่องมือระดมทุนที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Bond Switching, ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill), ตั๋วสัญญาใช้เงิน/เงินกู้ (Promissory Note / Term Loan) และพันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bond) เพื่อบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ สบน. ยังคงประสานงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการพิจารณาปริมาณและช่วงเวลาการออกพันธบัตร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดโดยรวมทั้งนี้ ณ เดือนพ.ค. 2568 หนี้สาธารณะคงค้าง ของประเทศไทยอยู่ที่ 12.21 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 65.08% ของ GDP ซึ่งอยู่ในระดับที่ยังสามารถบริหารจัดการได้

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยมีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยและกระแสเงินทุนโลกคือสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลโดยนักลงทุนต่างชาติ (Non-Resident Investors) ที่ไม่สูงนัก ณ เดือนมิ.ย. 2568 นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยคิดเป็นเพียง 9.3% ของพันธบัตรรัฐบาลคงค้างทั้งหมดและเมื่อพิจารณาในภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ไทยทั้งหมด รวมพันธบัตรรัฐบาล, ธปท., รัฐวิสาหกิจ และหุ้นกู้ภาคเอกชน สัดส่วนการถือครองโดยนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่5.210% ของมูลค่าตลาดตราสารหนี้ไทยทั้งหมดโดยผู้ถือครองหลักยังคงเป็นสถาบันรับฝากเงิน (30%) กองทุนตามสัญญา (20%) และบริษัทประกันภัย (20%)

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค สัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย 9.3% นี้ต่ำกว่าหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น (11.89%), เกาหลีใต้ (19.75%), อินโดนีเซีย (14.30%) และมาเลเซีย (22.19%) การที่นักลงทุนต่างชาติไม่ได้เข้ามาถือครองในสัดส่วนที่มากนัก ทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทยพึ่งพิงกระแสเงินทุนจากต่างชาติน้อยลง และลดความผันผวนจากเงินทุนไหลออกที่อาจเกิดขึ้น 

ทั้งนี้ แม้ J.P. Morgan จะมีการปรับมุมมองเป็น Underweight สำหรับตราสารหนี้รัฐบาลไทยในกลุ่ม Local Currency โดยมองว่าเส้นอัตราดอกเบี้ยของไทยอาจจะแบนราบกว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทาง สบน. ยังคงยืนยันว่าการที่นักลงทุนต่างชาติไม่ได้จัดสรรเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยในสัดส่วนที่สูงมากอยู่แล้ว และเมื่อพิจารณาผลตอบแทนเทียบกับประเทศอื่นที่มีอันดับเครดิตดีกว่า ประกอบกับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งแกร่งขึ้นในเชิงพื้นฐาน อาจไม่ดึงดูดการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวมากนัก