ลุ้น ครม.อนุทิน1 ประชุมนัดแรกทันเดือนนี้ อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ

ลุ้น ครม.อนุทิน1 ประชุมนัดแรกทันเดือนนี้ อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผ่ากระสุนการคลัง “รัฐบาลอนุทิน1” ลุ้นฟอร์ม ครม.เร็วใช้งบกระตุ้น 68 รับไม้ต่องบปี 69 พ่วงงบกลางกว่า 1.2 แสนล้านขับศก. ยืนยันไม่มีนโยายกู้เงินรับมือโจทย์ใหญ่

KEY

POINTS

  • ผ่ากระสุนการคลัง “รัฐบาลอนุทิน1” ลุ้นฟอร์ม ครม.เร็วใช้งบกระตุ้น 68 รับไม้ต่องบปี 69 พ่วงงบกลางกว่า 1.2 แสนล้านรอขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  • ยืนยันรัฐบาลใหม่ไม่มีนโยายกู้เงินเพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • รับมือโจทย์ใหญ่การวางกรอบงบปี 2570 และความเสี่ยงหนี้สาธารณะชนเพดาน 70% ของจีดีพีเร็วกว่ากำหนด
  • ท่ามกลางคำเตือน IMF ให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายรัฐและเพิ่มพื้นที่การคลังอย่างรอบคอบ

รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ถือว่าเป็นรัฐบาลที่เข้ามาในช่วงที่มีความพร้อมในเรื่องงบประมาณ เพราะเข้ามาช่วงรอยต่อระหว่าง ปีงบประมาณ 2568 ที่จะสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2568 และเข้าช่วง ปีงบประมาณ 2569 ในวันที่ 1 ต.ค.2568

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวว่าขั้นตอนของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาลนายอนุทินขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก และรอการตรวจสอบคุณสมบัติของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ซึ่งคาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์

ทั้งนี้ หากรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้ทันโดยมีการแถลงนโยบายและประชุมครม.นัดแรกได้ทันภายในวันที่ 30 ก.ย.2568จะอนุมัติให้ผูกพันงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามวงเงินงบประมาณที่มีอยู่จากงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่มีวงเงินเหลืออยู่ 2.6 หมื่นล้านบาท เมื่ออนุมัติแล้วสามารถทยอยเบิกจ่ายได้ในปีงบประมาณ 2569 ต่อไป ส่วนงบประมาณในปี 2569 มีงบประมาณตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท และงบประมาณที่ได้มีการผูกพันงบประมาณไว้แล้วบางส่วน

โดยในส่วนงบประมาณนั้นมีงบกลางฯปี 2569 ที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการบริหารงานอยู่ 2 ส่วนคืองบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนวงเงิน 9.8 หมื่นล้านบาท และงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวมกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ทำให้มีงบกลางฯที่อยู่ในอำนาจการบริหารของนายกรัฐมนตรี และครม.กว่า 1.23 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตามในส่วนของงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินฯนั้นนายกรัฐมนตรีจะมีการหารือกับสำนักงบประมาณในการเตรียมไว้ใช้ในการรับมือภัยพิบัติและสาธารณภัยปีละ 4-5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือนั้นเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะอนุมัติร่วมกับ ครม.สำหรับโครงการที่มีการเสนอเข้ามาให้ ครม.ชุดใหม่พิจารณา

“เศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ต่ำ ซึ่งการขับเคลื่อนการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลใหม่จะเข้ามามีส่วนสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นมาตรการทางการคลังที่ว่าที่ รมว.คลังคนใหม่ที่มีประสบการณ์ในการกระทรวงการคลัง และกรมภาษีจะไปคิดนโยบายที่จะออกมาเพิ่มเติมให้สามารถบังคับใช้โดยเร็ว”แหล่งข่าวระบุ

ยันไม่กู้เพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ในการทำนโนบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะใช้งบประมาณที่มีอยู่ โดยจากการหารือกันแล้วมีงบประมาณในการที่จะทำโครงการต่างๆ และรัฐบาลยืนยันว่าจะไม่มีการกู้เงินเพิ่มเติมเพื่อมาทำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจมากที่สุด

ทั้งนี้ ในเรื่องของ งบประมาณปี 2570 ที่รัฐบาลใหม่จะต้องเข้ามา เริ่มทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ซึ่งก็ถือเป็นขั้นตอนของการจัดทำงบประมาณ ซึ่งแม้รัฐบาลใหม่จะมีระยะเวลาในการทำงานไม่นานนักตามไทม์ไลน์ที่จะต้องยุบสภาฯภายใน 4 เดือน แต่ก็จะต้องเข้ามาทำหน้าที่ในการเตรียมการจัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2570

โดยในช่วงปลายปีนายกรัฐมนตรีจะนัดหมาย 4 หน่วยงานเศรษฐกิจได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ มาหารือกันถึงกรอบการจัดทำงบประมาณปี 2570 ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ.2569 – 2572 ซึ่งจะต้องมีการทบทวนใหม่ในช่วงเดือน ธ.ค.ของปีนี้เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้และกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ภาครัฐซึ่งตัวเลข 10 เดือนของงบประมาณนั้นต่ำกว่าเป้าหมายไปถึง 4 หมื่นล้านบาท

รับมือหนี้สาธารณะปริ่มเพดาน 70%

ซึ่งนายอนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องนั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเพื่อทบทวนกรอบการคลังระยะปานกลางของประเทศ ซึ่งอาจกระทบกับการร่นระยะเวลาในการที่เพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยอาจจะต้องเตรียมขยายเพิ่มกว่า 70% จากเดิมที่คาดว่าในปี 2572 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีนั้นจะแตะที่ระดับ 69.3% ซึ่งเมื่อตัวเลขการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางฉบับทบทวน นั้นอาจต้องมีการขยับเวลาที่หนี้สาธารณะจะเกินเพดานที่ 70% ของจีดีพีเร็วขึ้นจากเดิม เนื่องจากตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจและการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐนั้นยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นซึ่งถือว่าเป็นโจทย์ทางการคลังที่สำคัญและท้าทายของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายอนุทินด้วย

IMF แนะไทยอย่าขยายเพดานหนี้

นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องกู้ขาดดุลงบประมาณมาต่อเนื่อง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าระดับหนี้สาธารณะของประเทศไทยจะชนเพดานที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ของจีดีพีได้ภายในไม่กี่ปีงบประมาณข้างหน้า ทำให้รัฐบาลต้องใช้ความระมัดระวังในการทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะระดับหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อระดับความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

นอกจากนี้องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นั้นได้มีการออกรายงานข้อเสนอแนะถึงประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจและระดับหนี้ของประเทศ โดยมีข้อเสนอแนะว่าประเทศไทยไม่ควรมีการขยายเพดดานหนี้เงินกู้ให้ระดับหนี้สาธารณะเกินกว่า 70% และควรหาทางลดระดับหนี้ต่อสาธารณะลง โดยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของภาครัฐ การลดรายจ่ายภาครัฐ ควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้ภาครัฐ เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (fiscal space) ของประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น