โจทย์หิน 2 รมว.ใหม่จากภาคธุรกิจ ‘อรรถพล-ศุภจี’ ภารกิจร้อนรัฐบาลใหม่

จับตา 2 รมต.จากภาคธุรกิจ "อรรถพล" ว่าที่ รมว.พลังงาน "ศุภจี" ว่าที่ รมช.พาณิชย์ กับโจทย์หินด้านพลังงาน และงานพาณิชย์
KEY
POINTS
- รัฐบาลใหม่เสนอชื่อ 2 ผู้บริหารจากภาคธุรกิจเป็นรัฐมนตรี ได้แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีต CEO ปตท. เป็น รมว.พลังงาน และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีต CEO ดุสิตธานี เป็น รมว.พาณิชย์
- ภารกิจเร่งด่วนของ รมว.พลังงาน คือ การแก้ปัญหาราคาพลังงานที่กระทบค่าครองชีพ โดยต้องทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมัน และค่าไฟ ผลักดันแผนพลังงานชาติ และจัดการประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา
- ภารกิจสำคัญของ รมว.พาณิชย์ คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้อง โดยเน้นการสร้างรายได้ควบคู่กับการลดค่าครองชีพ ผ่านการเปิดตลาดต่างประเทศ เร่งเจรจาการค้า และดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เร่งการจัดตั้ง และอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติ โดยนายอนุทินได้เปิดตัวรัฐมนตรีคนนอกหลายคน โดยเฉพาะ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ซึ่งในอดีตเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คนที่ 10 ที่พ้นวาระไปเมื่อปี 2567
นอกจากนี้ นายอนุทิน ได้เปิดตัว นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยได้ลาออกจากประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2568 เพื่อมารับตำแหน่งทางการเมือง
นางศุภจี กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งดังกล่าวว่า เป็นเรื่องท้าทายที่นายกรัฐมนตรีทาบทามเข้าร่วมทีมเศรษฐกิจเพื่อดูแลกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งไม่คาดว่าได้รับโอกาส โดยเห็นว่าไทยกำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้อง ซึ่งจากการทำงานที่หลากหลายทั้งด้านมหภาค องค์กรธุรกิจข้ามชาติ จะนำมาใช้ผลักดันตลาดต่างประเทศสนับสนุนเศรษฐกิจไทย
“การจะหวังพึ่งลดค่าครองชีพอย่างเดียวไม่พอ ต้องสร้างรายได้ประกอบกันไปด้วย มองว่าเปิดตลาดต่างประเทศ หาศักยภาพตลาดในประเทศไปพร้อมกัน”
ทั้งนี้ ที่สำคัญการทำงานระยะ 7-9 เดือน ทำให้ตัดสินใจง่าย เพราะทำงานต้องให้เกิดผล และวางรากฐานเพื่อเลือกตั้ง แม้ไม่รู้จักข้าราชการแต่ทำงานกับคนที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันได้
“ความตั้งใจส่วนตัวคนเราไม่ต้องรู้ 100% ถึงจะทำ แต่ทำให้ 100% เพื่อเศรษฐกิจแข็งแรงเพื่อให้ฟื้นได้” นางศุภจี กล่าว
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้หญิงเก่งเคยทำงาน IBM บริษัทระดับโลก และเป็น CEO เครือดุสิตธานี ถือเป็นผู้มีฝีมือ แม้จะไม่คุ้นเคยกับธุรกิจนำเข้าและส่งออก แต่เชื่อว่าด้วยความรู้ และทีมงานของกระทรวงพาณิชย์จะบริหารงานได้ราบรื่น
“ภาคเอกชนพร้อมที่จะสนับสนุน และให้ความร่วมมือ มั่นใจว่าจะพางานการค้าของไทยขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี” นายธนากร กล่าว
ภารกิจที่ต้องเข้ามาดำเนินการ
หากพิจารณาภารกิจที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนใหม่จะเข้ารับหน้าที่ในช่วงนี้ จะต้องมาขับเคลื่อนการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อตกลงการค้ากับสหรัฐที่ยังเหลือบางประเด็น เช่น แหล่งกำเนิดสินค้า รวมถึงการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) เช่น สหภาพยุโรป
นอกจากนี้ ต้องมาดูแลเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เช่น ข้าวนาปี รวมถึงมาขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่กำลังเผชิญ ผลกระทบจากภาษีทรัมป์ และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก
ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คนใหม่ที่ได้ "นายอรรถพล" มีภารกิจที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ การแก้ไขปัญหาราคาพลังงานที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่มีสิ่งที่ควรดำเนินการในภาพรวม คือ การทบทวนโครงสร้างราคาพลังงานทั้งราคาน้ำมันที่ควรสะท้อนต้นทุนหน้าโรงกลั่น ซึ่งปัจจุบันทั้งราคาดีเซลและเบนซินมีความแตกต่างกัน รวมถึงโครงสร้างค่าไฟด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบัน ทั้งราคาน้ำมัน และค่าไฟฟ้าจะไม่ถือว่าแพงมาก อยู่ในภาวะที่ประชาชนยังรับไหว เพราะด้วยประเทศไทยมีการนำเข้าพลังงานสูง ยิ่งน้ำมันมีสัดส่วนกว่า 90% ส่วนค่าไฟฟ้าโดยส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนมานำเข้าก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น แต่หากจะให้ยั่งยืนสิ่งสำคัญคือ ในเรื่องของโครงสร้างพลังงานที่ต้องทบทวน
“การที่เป็นอดีต CEO ปตท.จะคุ้นเคย และคุ้นเคยกับข้าราชการ และมีความรู้ ความสามารถขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงพลังงานได้เร็วขึ้น”
แหล่งข่าว กล่าวว่า สิ่งที่อาจจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) คือการรับทราบผลการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ซึ่งการสรรหาสิ้นสุดแล้ว และได้เสนอเลขานุการ กบน.แล้ว
รวมถึงการ การอนุมัติตรึงราคาก๊าซหุงต้น LPG ภาคครัวเรือนต่อไปอีก ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) จะมีการอนุมัติขยายระยะเวลาตรึงราคา LPG หน้าโรงกลั่นที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับถังขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 423 บาท โดยจะครบกำหนดที่ตรึงราคาไว้ถึง 30 ก.ย.2568
นอกจากนี้ จะต้องเร่งพิจารณาคือ (ร่าง) แผนพลังงานชาติฉบับใหม่ ซึ่งลงนามแต่งตั้งคณะทำงานแล้วต้องเดินหน้าต่อเพื่อให้แผนพลังงานชาติ ฉบับใหม่พร้อมขับเคลื่อนประเทศสู่เป้า Net Zero ซึ่งแผนพลังงานชาติประกอบด้วย 5 แผน คือ
1.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan: PDP)
2.แผนพัฒนาพลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan: AEDP)
3.แผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP)
4.แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง (Oil Plan)
5.แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan)
ขณะที่สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 7 ก.ย.2568 ติดลบรวม 21,957 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันมีเงินอยู่รวม 20,834 ล้านบาท ส่วนบัญชี LPG ติดลบ 42,791 ล้านบาท ขณะที่หนี้เงินกู้เหลือที่ 51,943 ล้านบาท จากเดิมที่กู้มาราว 100,000 ล้านบาท
นายอรรถพล กล่าวหลังจากการเปิดตัวที่พรรคภูมิใจไทยในประเด็นการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ว่า ประเด็นนี้จะดำเนินการให้สอดคล้องนโยบายรัฐบาลนายอนุทินที่ประกาศไม่ยอมเสียดินแดนของประเทศไทยแม้แต่ตารางเซนติเมตรเดียว
“การเจรจาเพื่อบริหารจัดการผลประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ดังกล่าวยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ จนกว่าปัญหาข้อพิพาทเรื่องเส้นแบ่งเขตแดนจะได้รับการแก้ไขอย่างเด็ดขาด” นายอรรถพล กล่าว
สำหรับการเจรจาดังกล่าวเป็นข้อเสนอเดิมที่เคยหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ โดยเป็นแนวคิดที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ทั้ง 2 ประเทศ จะต้องไม่มีข้อขัดแย้งเรื่องดินแดน เพื่อให้เหมือนการบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ที่ประสบความสำเร็จมาตลอดเพราะไม่มีข้อพิพาทเขตแดนมาเกี่ยวข้อง
ขณะที่สถานการณ์ไทย-กัมพูชา แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงกันเรื่องเส้นแบ่งดินแดนได้ ส่งผลให้การทำงานด้านการบริหารจัดการพลังงานไม่สามารถเดินหน้าได้ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์






