'นักวิชาการ' แนะรัฐบาลใหม่เร่งปลดล็อก 3 โจทย์ใหญ่ ดึงเชื่อมั่นนักลงทุน

เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง "4 เดือน" ชี้ชะตาปี 69 นักวิชาการ แนะรัฐบาลใหม่เร่งปลดล็อก 3 โจทย์ใหญ่ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน รัฐบาลใหม่ ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เผชิญความท้าทายสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนโยบายเศรษฐกิจที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ
โครงการคนละครึ่ง ที่จะช่วยลดภาระค่าครองชีพและขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงการผลักดันนโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนและส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น นอกจากนี้ การส่งเสริมการลงทุนและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า
รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "กรุงเทพธุรกิจ" โดยชี้ว่า รัฐบาลใหม่มีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือนในการพิสูจน์ฝีมือ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในปี 2569 ที่กำลังจะมาถึง
รศ.ดร.อธิภัทร กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ต้องเร่งจัดการกับ 3 โจทย์หลัก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับเครดิต คือ
1. กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยแก้ไขปัญหาความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนสูง โดยเน้นมาตรการที่
2. นโยบายภาษี โดยจัดเตรียมมาตรการรับมือกับนโยบายภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ "ภาษีทรัมป์" ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทย
3. เสถียรภาพการคลัง โดยต้องสร้างความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการคลังของประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมทั้งของภาครัฐและเอกชน
นอกจากนี้ รศ.ดร.อธิภัทร ยังเสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณาจัดตั้ง "สถาบันการคลังอิสระ" เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์และประเมินต้นทุนของโครงการต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา และยังให้ความเห็นถึงแนวทางเพิ่มรายได้ของภาครัฐ โดยชี้ว่า "ภาษี VAT" ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่รัฐบาลสามารถเร่งการจัดเก็บภาษีจากเศรษฐกิจนอกระบบและทบทวนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไม่มีความจำเป็นได้
"4 เดือน" ทั้งจุดอ่อนและจุดแข็ง
ในมุมมองของ รศ.ดร.อธิภัทร ระยะเวลา 4 เดือนเป็นทั้ง "จุดอ่อน" และ "จุดแข็ง" โดยจุดอ่อน คือ ไม่สามารถออกนโยบายที่ต้องแก้ไขกฎหมายได้ทันที แต่ จุดแข็ง คือ การทำงานจะต้องมีความชัดเจนและมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายหลัก ทำให้รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึง "ผลงานที่จับต้องได้" ในช่วงเวลาที่กำหนด
สุดท้ายนี้ รศ.ดร.อธิภัทร ได้ฝากถึงรัฐบาล "อนุทิน ชาญวีรกูล" และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ว่า ควรทบทวนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น "คนละครึ่ง" โดยพิจารณาถึงความคุ้มค่าและสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจถึงเหตุผลและประโยชน์ของนโยบายอย่างแท้จริง







