สภาพัฒน์ แนะ 3 มาตรการ ชี้ กระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะหนี้สูง ได้ผลน้อย

สภาพัฒน์ แนะ 3 มาตรการ ชี้ กระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะหนี้สูง ได้ผลน้อย

รองเลขาธิการ สภาพัฒน์ ชี้ไทยเผชิญปัญหาหนี้สูงทั้งหนี้ครัวเรือน-หนี้ธุรกิจ-หนี้รัฐพุ่งสูง ชี้รัฐบาลต้องระวังเรื่องก่อหนี้ หลัง IMF เตือนว่าไทยไม่ควรขยายเพดานหนี้

KEY

POINTS

  • รองเลขาธิการ สภาพัฒน์ ชี้ไทยเผชิญปัญหาหนี้สูงเป็นภาวะที่แก้ยาก และส่งผลต่อเศรษฐกิจ
  • ชี้หนี้ครัวเรือน-หนี้ธุรกิจ-หนี้รัฐของไทยพุ่งสูง สะท้อนความเสี่ยง และความอ่อนแอเศรษฐกิจ 
  • แนะรัฐบาลต้องระวังเรื่องก่อหนี้ และใช้นโยบายการกระตุ้น หลัง IMF เตือนว่าไทยไม่ควรขยายเพดานหนี้สูงกว่า 70% 
  • แนะทางออกรัฐบาลใหม่ ดันเมดอินไทยแลนด์ ใช้ประโยชน์จากส่งออก และใช้มาตรการเฉพาะแก้ปัญหาหนี้ 

ปัญหา "หนี้" ถือว่าเป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งศักยภาพเศรษฐกิจของไทย โดยหนี้ใน 3 ส่วนถือว่าสูงกว่าระดับปกติ ได้แก่ หนี้สาธารณะที่สูงถึง 63.8% ของจีดีพีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ที่ 88.4% ของจีดีพี และ ส่วนสุดท้ายคือหนี้ภาคธุรกิจซึ่งอยู่ที่ 83.5% ของจีดีพี ซึ่งถือเป็นควาท้าทายในการแก้ปัญหาหนี้เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้  

นายวิชญายุทธ บุญชิต รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ปัญหาหนี้ระดับสูงของประเทศไทยกำลังเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยทั้งหนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ และหนี้สาธารณะล้วนอยู่ในระดับที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต

NPL พุ่งสูงหลังโควิด-19

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 ทั้งหนี้ครัวเรือนโดยเฉพาะครัวเรือนเปราะบาง และหนี้ภาคธุรกิจที่มีตัวเลข NPL และหนี้เฝ้าระวัง (SM) สูงขึ้น

เมื่อรวมกับปัจจัยผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่จะเห็นภาพชัดตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป ทำให้มีความเสี่ยงที่ระดับหนี้จะเพิ่มสูงขึ้น และความสามารถในการชำระหนี้รวมทั้งคุณภาพสินเชื่อจะลดลง

หนี้สาธารณะใกล้เพดาน 70% ต่อ GDP

ระดับหนี้ภาครัฐที่วัดจากหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยมีสัญญาณปรับเพิ่มขึ้นและมีความท้าทายที่จะรักษาระดับหนี้ไม่ให้เกินเพดาน 70% ซึ่งองค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แนะนำว่าประเทศไทยไม่ควรขยายระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้เพิ่มขึ้น แต่ควรเพิ่มศักยภาพการจัดเก็บรายได้และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ

เข้าสู่ "Diabolic Loop" แก้ปัญหาได้ยาก 

"การเพิ่มขึ้นของหนี้สินและ NPL ในประเทศไทยกำลังสร้างวงจรที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ นักวิชาการเรียกปัญหานี้ว่า 'Diabolic Loop' ซึ่งเป็นวังวนของปัญหาที่เกิดจากระดับหนี้สูง แล้วมีการก่อหนี้เพื่อแก้ปัญหา และระดับหนี้ที่สูงก็ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่ำ ทำให้ต้องมีการก่อหนี้มากระตุ้นหรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจ" นายวิชญายุทธกล่าว

การแก้ไขปัญหาที่เป็น Diabolic Loop เป็นเรื่องยากและซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ และเป็นความท้าทายระดับมหภาคสำคัญ เพราะเป็นวัฏจักรที่เป็น vicious circle หรือวงจรอุบาทว์ที่วนเวียนกลับไปที่ปัญหาเดิม

การแก้ปัญหาหนี้แบบเดิมอาจใช้ไม่ได้

เขากล่าวต่อว่าการแก้ปัญหาหนี้ที่ได้ผลไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป โดยเฉพาะการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ เช่น การขยายสินเชื่อหรือการกู้เงิน ทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสถาบันการเงินจะระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น

ดังนั้นการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนจึงเป็นทางออกในการเพิ่มการขยายตัวทางเศرษฐกิจได้ แต่มาตรการเหล่านี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยมาตรการระยะสั้น ซึ่งมาตรการระยะสั้นจะทำได้เพียงประคับประคองภาวะเศรษฐกิจไม่ให้ชะลอตัวลงมากกว่าที่เป็นอยู่เท่านั้น

เสนอ 3 มาตรการดูแลเศรษฐกิจ 

สำหรับมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญ ควรอยู่บนพื้นฐานของการไม่สร้างภาระหนี้เพิ่มขึ้น เพราะในขณะนี้หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจแต่ภาวะหนี้สินยังสูง การกระตุ้นเศรษฐกิจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร โดยมี 3 มาตรการหลัก ได้แก่

1. รณรงค์ใช้สินค้าไทยและเที่ยวในประเทศ เนื่องจากการส่งออกไปตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ เจอมาตรการกีดกันทางการค้าและกระแส "Mercantilism" ส่วนจะหันไปพึ่งพาตลาดจีนก็ยาก เพราะจีนได้เปรียบในทุกด้าน

"ในอดีตเคยใช้มาตรการ 'Made in Thailand' และประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นอย่างดี ทำให้เกิดการผลิตและบริโภคในประเทศ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีแรงขับเคลื่อนได้มากขึ้น"

2. หาตลาดส่งออกใหม่และส่งเสริมสินค้าที่ส่งออกได้เพิ่ม ไทยจำเป็นต้องหาตลาดใหม่และส่งเสริมตลาดและสินค้าที่ส่งออกได้เพิ่มจากมาตรการทางภาษีที่มีผลบังคับใช้ ซึ่งสินค้าหลายชนิดของไทยมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม เนื่องจากบางสินค้าได้รับอัตราภาษีที่ต่ำกว่า

รัฐบาลควรหาวิธีช่วยลดต้นทุน ลดภาระ และอำนวยความสะดวก และไม่ควรออกมาตรการที่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ เช่น มาตรการค่าแรง

3. ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SME) SME จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนในด้านต่างๆ แต่ปัญหาคือธนาคารจำกัดกลุ่มการปล่อยกู้ให้เฉพาะรายใหญ่ ทำให้ SME รายเล็กยิ่งแย่ลง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา SME ที่เป็น NPL เพิ่มขึ้น

มาตรการที่จะช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละกลุ่ม แต่ละราย ไม่ควรเป็นแบบ "One size fits all" โดยเน้นว่าต้องมีการปรับแต่งมาตรการให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม เพราะไม่ใช่มาตรการแบบเดียวจะสามารถใช้แก้ปัญหาหนี้ได้ทั้งหมด