IMF แนะรัฐบาลใหม่ระวังการใช้จ่ายหลัง 'หนี้สาธารณะสูง'

IMF แนะรัฐบาลใหม่ระวังการใช้จ่ายหลัง 'หนี้สาธารณะสูง'

IMF เตือนรัฐบาลใหม่ให้ใช้นโยบายการคลังอย่างระมัดระวัง และรอบคอบ เนื่องจากหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

KEY

POINTS

  • IMF เตือนรัฐบาลใหม่ให้ใช้นโยบายการคลังอย่างระมัดระวัง และรอบคอบ เนื่องจากหนี้สาธารณะของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
  •  หนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ประมาณ 67.9% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียน และกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาเดียวกัน
  • สาเหตุของหนี้สูงส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณที่มีรายจ่ายประจำที่ลดทอนได้ยาก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น
  • ข้อจำกัดด้านงบประมาณ (กระสุนทางการคลังเหลือน้อย) ทำให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพภายใต้งบที่จำกัด

หากเปรียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน “หนี้สาธารณะของประเทศไทย” ถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ อยู่ที่ประมาณ 67.9% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปัจจุบัน และ มีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นไปเป็น 68.9% ของจีดีพีภายในปี 2028 สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการจัดทำงบประมาณที่เต็มไปด้วยรายจ่ายประจำที่ยากต่อการลดทอนกว่า 70% ของเม็ดเงินทั้งหมดรวมไปถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น และมาตรการลดหย่อนภาษีจำนวนมาก

IMF แนะรัฐบาลใหม่ระวังการใช้จ่ายหลัง 'หนี้สาธารณะสูง' ขอบคุณข้อมูลจาก รศ.ดร.อธิภัทร

ล่าสุด นางจูลี่ โคแซค (Julie Kozack) โฆษกประจำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ตอบคำถามจากผู้สื่อข่าวกรุงเทพธุรกิจ ในงาน Press Briefing ประจำเดือน ก.ย. ในวันที่ 11 ก.ย.68 ย้ำข้อเท็จจริงดังกล่าวว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะไทยปรับตัวไปอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอื่นๆ ในระดับการพัฒนาเดียวกัน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างระมัดระวัง และรอบคอบ (Prudent) ขณะเดียวกันก็ต้องหาวิธีเพิ่มบัฟเฟอร์ให้กับพื้นที่ทางการคลังเพื่อผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาวด้วย

"นโยบายการคลังควรมีความรอบคอบ เพราะหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง และเมื่อเศรษฐกิจเร่ิมฟื้นตัวได้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างการคลัง (fiscal consolidation) โดยมีเป้าหมายในการพื้นที่ทางการคลังให้มากขึ้น (buffer)"

IMF แนะรัฐบาลใหม่ระวังการใช้จ่ายหลัง 'หนี้สาธารณะสูง' นางจูลี่ โคแซค (Julie Kozack) โฆษกประจำกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

ย้อนกลับไปในช่วงการประชุม IMF-WBG Spring Meeting ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา นางอีรา ดาบลา-นอร์ริส รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการคลังของ IMF ก็ตอบคำถามจากผู้สื่อข่าวของกรุงเทพธุรกิจในทำนองเดียวกันว่า ฐานะการคลังในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยภาพรวมอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ในภูมิภาคอาเซียนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีระดับหนี้สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเล็กน้อย โดยอยู่ที่ระดับสูงกว่า 60% ของ GDP ทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศแนะนำให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายการคลังอย่างรอบคอบและประหยัด

“โดยเฉลี่ยในภูมิภาคอาเซียน อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีนั้นต่ำกว่าในเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนาอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ระดับหนี้มีมูลค่าสูงกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ที่กว่า 60% ของจีดีพี”

 

เมื่อถามถึงปัญหา "ความไม่แน่นอนทางการเมือง" และ "ความขัดแย้งบริเวณชายแดน" ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร โฆษกของกองทุนฯ อธิบายว่า ปกติจะไม่ตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเมืองภายในประเทศ อย่างไรก็ตามกองทุนฯ ทราบ และมอนิเตอร์สถานการณ์ทุกอย่าง อย่างใกล้ชิดเพื่อนำไปประเมิน และปรับคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจของ IMF ฉบับเดือนต.ค. ที่จะถึงนี้

"ประเทศไทยเผชิญกับความไม่แน่นอน กองทุนฯ กำลังมอนิเตอร์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินเพื่อปรับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะออกมาในรายงานเดือน ต.ค." จูลี่ตอบคำถามจากผู้สื่อข่าวกรุงเทพธุรกิจ

ไทย 'ขาดดุลการคลัง' ต่อเนื่อง

หากพิจารณาบริบทปัจจุบันของสถานะทางการคลังของประเทศไทยจากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะพบว่า ตัวเลขการขาดดุลของไทยอยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มประเทศที่อยู่ในระดับการพัฒนาเดียวกันที่ BBB โดยค่าเฉลี่ยการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นทุกปี จากในช่วงการบริหารงานของ “ยุคทักษิณ-สุรยุทธ์” ที่อยู่เพียง -0.8% ของจีดีพี แต่ตัวเลขก็ขยับมาอยู่ที่ -2.2% ใน “อภิสิทธิ์-ยิ่งลักษณ์” ที่ -2.7% ใน “ยุคประยุทธ์ช่วงแรก” ที่ -3.9% ใน “ยุคประยุทธ์ที่เผชิญปัญหาโควิด-19” และที่ -4.0% ใน “ยุคเศรษฐา-แพทองธาร”

IMF แนะรัฐบาลใหม่ระวังการใช้จ่ายหลัง 'หนี้สาธารณะสูง' ขอบคุณข้อมูลจากรศ.ดร.อธิภัทร

'คนละครึ่ง' ควรทำหรือไม่ ? 

จากปัญหาทั้งหมดจึงทำให้นักวิชาการจำนวนมากจับตาไปที่มาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ล่าสุดของรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าการนำมาตรการคนละครึ่งในยุคของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีกลับมาเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่เมื่อพิจารณาบริบท “กระสุนทางการคลัง” ของประเทศไทยที่เหลือน้อยลงทุกที

ในประเด็นนี้ รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์กับรายการกรุงเทพธุรกิจ Deeptalk เอาไว้ว่า รัฐบาลปัจจุบันมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน ดังนั้นต้องพิจารณาการทำนโยบายอย่างรอบคอบ

รัฐบาลต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าต้องการให้โครงการ “คนละครึ่ง” ตอบโจทย์อะไรให้มากที่สุด เช่น หากต้องการช่วยร้านค้าขนาดเล็ก เงื่อนไขเดิมที่เน้นร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่จดทะเบียนนิติบุคคลก็เป็นจุดแข็งของโครงการที่ต้องรักษาไว้ ขณะเดียวกัน หากต้องการกระตุ้นการบริโภค รัฐบาลจำเป็นต้องต้องปรับเงื่อนไขการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และต้องสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจถึงการปรับเปลี่ยนนี้

"สถานการณ์ในปัจจุบันแตกต่างจากช่วงโควิด-19 อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องกระสุนทางการคลัง ที่มีจำกัด งบประมาณเหลือไม่ถึง 5,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องนำงบฯ อื่นมาสนับสนุน และคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้โครงการคนละครึ่ง 2.0 สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้งบประมาณที่จำกัด"

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์