กกร.จี้ดึงทองพ้นบัญชีส่งออก จับตา“ตลาดกัมพูชา”โตแรง

กกร.จี้ภาครัฐดึงทองพ้นบัญชีส่งออก จับตา “ตลาดกัมพูชา” โตแรง ยันยอดส่งออกไปกัมพูชาต่ำมาก เชื่อสอบเส้นทางการเงินได้หากห่วงเอี่ยวทุนเทา
KEY
POINTS
- กกร.) ได้ยื่นข้อเสนอเร่งด่วนให้รัฐบาลใหม่ และ ธปท. แยกมูลค่าการค้าทองคำออกจากการคำนวณมูลค่าการส่งออกโดยรวม เพื่อให้เห็นภาพการค้าที่แท้จริง
- กกร. แสดงความกังวลต่อการส่งออกทองคำไปยังประเทศกัมพูชาที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และผิดปกติ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง
- การส่งออกทองคำที่พุ่งสูงไปยังกัมพูชาถูกมองว่าส่งผลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และอาจมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมาย (ทุนเทา) ในประเทศเพื่อนบ้าน
- นายกสมาคมค้าทองคำ ชี้แจงว่ามูลค่าส่งออกไปกัมพูชาราว 60,000 ล้านบาท เป็นการซื้อขายผ่านตัวกลางรายเดียว และเชื่อว่า ปปง. สามารถตรวจสอบได้ โดยยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท
เปิดตัวเลขส่งออกทองไปกัมพูชา โต 700% เมื่อปี 67 พบ 7 เดือนโตต่อ 19% ขึ้นแท่นตลาดส่งออกเบอร์ 2 รองจากสวิตเซอร์แลนด์ กกร. เตรียมจี้รัฐบาลใหม่-แบงก์ชาติ ดึงทองพ้นตัวเลขส่งออก หวังได้ข้อมูลสะท้อนตัวเลขการค้าที่แท้จริง ด้านสมาคมค้าทองคำ ยันยอดส่งออกไปกัมพูชาต่ำมาก เชื่อสอบเส้นทางการเงินได้หากห่วงเอี่ยวทุนเทา
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ประเทศไทยนำเข้าทองคำเมื่อปี 2566 มูลค่ารวม 276,781 ล้านบาท จากนั้นมีการขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ในปี 2567 มูลค่า 543,776 ล้านบาท หรือนำเข้าเพิ่มขึ้น 96.46% ล่าสุด ช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.-ก.ค.68) มูลค่า 390,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.51% โดยแหล่งนำเข้าสำคัญได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ สัดส่วน 26.96% ฮ่องกง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน และสิงคโปร์ ตามลำดับ
ด้านการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูป เมื่อปี 2566 มูลค่า 206,491 ล้านบาท จากนั้นในปี 2567 มูลค่า 304,124 ล้านบาท ขยายตัว 47.28% ส่วนการส่งออก 7 เดือนแรก ปี 2568 มูลค่า 254,073 ล้านบาท ขยายตัว 68.47% ตลาดส่งออกสำคัญคือ สวิตเซอร์แลนด์ ปี 2567 มูลค่า 105,686 ล้านบาท 7 เดือนแรก ปี 2568 มูลค่า 108,145 ล้านบาท ขยายตัว 137.05% เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งสัดส่วน 42.51%
ปี 67ส่งออกทองไปกัมพูชาโต700%
รองลงมาคือ การส่งออกไปยังประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2566 ปริมาณ 12,562 ล้านบาท จากนั้นในปี 2567 มูลค่า 105,982 ล้านบาท ขยายตัว 743.66% ส่วน 7 เดือนแรกปี 2568 มูลค่า 71,312 ล้านบาท ขยายตัว 19.15% ขึ้นเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 2 ด้วยสัดส่วน 28.05%
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย ส.อ.ท. สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้พิจารณา และตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการส่งออกทองคำไปยังประเทศกัมพูชา ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น กกร. ได้ยื่นข้อเสนอเร่งด่วนไปยังรัฐบาลชุดใหม่ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้เร่งแยกมูลค่าการค้าทองคำออกจากการคำนวณมูลค่าการส่งออกโดยรวม เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงของการส่งออกสินค้าอื่นๆ และเพื่อประเมินความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ ธปท. เข้าไปดูแลการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทให้มีความเหมาะสม และไม่ผันผวนรุนแรงจนเกินไป เพราะการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าผิดปกติจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ทั้งภาคการส่งออก เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว
ห่วงเทรดทองสูงผิดปกติเอี่ยวทุนเทา
“การส่งออกทองคำที่พุ่งสูงผิดปกติไปยังกัมพูชาได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา เนื่องจากมันไม่เพียงแต่ส่งผลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเท่านั้น แต่ยังจุดประกายความกังวลว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน กกร. จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และเร่งดำเนินการตรวจสอบเพื่อปกป้องเศรษฐกิจไทยจากความเสี่ยงที่มองไม่เห็นในอนาคตอันใกล้นี้”
เซาไก ฟาน (Shaokai Fan)หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมประเทศจีน) และหัวหน้าฝ่ายธนาคารกลางระดับโลก ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็น “ตลาดทองคำที่แข็งแกร่ง” ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนโดยติดอันดับที่ 7 ของโลกในปี 2567ในด้านความต้องการทองคำแท่ง และเหรียญทองคำที่ 40 ตัน คิดเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
โดยความต้องการทองคำรวมของผู้บริโภคในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 37 ตันในปี 2564 เป็น 38 ตันในปี 2565 และเพิ่มขึ้นเป็น 43 ตันในปี 2566 และ 49 ตันในปี 2567
ไทยดีมานด์บริโภค-ลงทุนทองโตต่อ
ล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ความต้องการทองคำของผู้บริโภคโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง โดยเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนมาอยู่ที่ 12 ตัน ขณะที่การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญของนักลงทุนไทยเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 38% อยู่ที่ 10 ตัน นอกจากนี้ ไทยยังเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยอัตราการเติบโตของความต้องการทองคำแท่ง และเหรียญที่เพิ่มขึ้น 35% จากไตรมาสที่ 1 ปี 68 ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่มีแนวโน้มลดลง
จากการศึกษาพบว่าคนไทยมองทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว และเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของแพลตฟอร์มการออมทองคำแท่งในรูปแบบดิจิทัล อาทิ แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นความต้องการซื้อทองคำในตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
อาเซียนผนึกสร้าง‘ตลาดทองคำโลก’
สภาทองคำโลกคาดการณ์ว่า “ทองคำ” จะยังเป็นสินทรัพย์ป้องกันความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โดย “3 ปัจจัย” ที่สนับสนุนราคาทองคำให้มีแนวโน้มเติบโตต่อในอนาคต คือ 1.ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) 2.ความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ดั้งเดิมลดลง เช่น ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 3.ทองคำยังคงเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย”
ทั้งนี้ อาเซียนสามารถก้าวขึ้นเป็นตลาดทองคำอันดับ 3 รองจากตลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างจีน และอินเดียได้ เนื่องจากแนวโน้มตลาดทองคำในไทย และอาเซียนแข็งแกร่งมาก โดยมีพัฒนาการเชิงบวกในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และสปป.ลาว ดังนั้นหากอุตสาหกรรมทองคำไทยจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขยายตลาด จะนำไปสู่การพึ่งพาตนเองภายในอาเซียนมากขึ้น
“ประเทศผู้ผลิตทองคำหลักอย่างอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ สามารถนำทองคำที่ขุดได้มากลั่นในไทยหรือสิงคโปร์ แล้วนำไปขายในภูมิภาคได้ทันที จะช่วยลดการพึ่งพาโรงกลั่นของสวิตเซอร์แลนด์ที่ในปัจจุบันทองคำจำนวนมากที่ขายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกขุดจากทั่วโลกไปกลั่นที่สวิตเซอร์แลนด์ก่อนจะส่งกลับมาขาย”
สมาคมค้าทองเชื่อตรวจสอบได้
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า เท่าที่ตรวจสอบข้อมูล พบมูลค่าส่งออกทองคำไปกัมพูชา ราว 60,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วนไปถึง10% ของมูลค่าส่งออกทองคำไปต่างประเทศปีละหลายแสนล้านบาท โดยประเทศที่ไทยส่งออกทองคำมากที่สุด คือ สิงคโปร์ และฮ่องกง
ขณะเดียวกันมูลค่าดังกล่าว กระทำโดยผู้ค้าทองเพียงรายเดียว ในลักษณะตัวกลางในการซื้อขายทองคำตามปกติ ซึ่งทองคำในไทยขาดแคลน ต้องไปนำเข้ามาจากสิงคโปร์หรือฮ่องกง มาผ่านไทย ซึ่งไม่มีภาษีจากนั้นถึงส่งออกไปกัมพูชา ตามปกติแล้ว การส่งออกทองคำ ต้องทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบธนาคาร และการส่งออกต้องสำแดงของกับกรมศุลกากร เชื่อว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)สามารถตรวจสอบเส้นทางที่ส่งออกทองคำจากไทยไปประเทศต่างๆ ได้อยู่แล้ว ตรงนี้คงต้องรอมา ปปง.เข้ามาตรวจข้อเท็จจริงต่อไป
อีกทั้งการส่งออกทองคำผ่านระบบตัวกลาง เป็นการซื้อมาขายไม่ในทันที และในปริมาณการส่งออกที่ไม่ได้มาก ยืนยันว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท และราคาทองคำ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







