คลื่นทุนสหรัฐหนีจีนรอบใหม่ ไทยรับลงทุน ‘ตั้งนิคมฯ ใหม่’ พุ่ง 3 ปี 3.4 หมื่นไร่

คลื่นทุนสหรัฐหนีจีนรอบใหม่ ไทยรับลงทุน ‘ตั้งนิคมฯ ใหม่’ พุ่ง 3 ปี 3.4 หมื่นไร่

สงครามภาษีจีน - สหรัฐพ่นพิษ หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ เผยธุรกิจอเมริกัน 47% มีแผนโยกการลงทุนที่เตรียมไว้ในจีนไปประเทศอื่นมากสุดเท่าที่เคยสำรวจ ส่วนใหญ่มาอาเซียน กนอ.ชี้ผู้พัฒนานิคมฯ เร่งขยายพื้นที่รับลงทุน 3 ปี ตั้งนิคมฯ ใหม่ 3.4 หมื่นไร่ เตรียมเสนอบอร์ดเคาะอีก 2 แห่ง 

KEY

POINTS

  • ช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา มีคลื่นการย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้ามาอาเซียน และไทยต่อเนื่อง ทำให้มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนทั้งนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ.และนิคมฯ ร่วม โดยปี 2566-2568 มีการพัฒนานิคมฯ ใหม่ 18 แห่ง รวม 34,645 ไร่
  • ปี 2568 มีการเสนอคณะกรรมการ กนอ.เห็นชอบจัดตั้งนิคมฯ ใหม่รวม 15,000 ไร่ รวมทั้งมีนิคมฯ ใหม่ที่เตรียมเสนอคณะกรรมการ กนอ.อีก 2 แห่ง คือ  อุตสาหกรรมเอเพ็กซ์กรีน อินดัสเตรียล เอสเตท และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง
  • การลงทุนในไทยยังมีแนวโน้มขยายตัว โดยเมื่อดูจากการขอสิทธิประโยชน์จาก BOI ครึ่งแรกปี 2568 กว่า 1 ล้านล้านบาท โดยปี 2569 กนอ.มั่นใจว่าจะลงนามเปิดพื้นที่ได้ตามเป้าหมาย 1 หมื่นไร่ นักลงทุนเห็นจากโอกาสจากปัจจัยต้นทุนที่ดี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และการออกกฎระเบียบที่ชัดเจน
  • นักลงทุนจะตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิตพิจารณาปัจจัยสำคัญรอบด้าน อาทิ ทำเลยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูง พื้นที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ตลาด และท่าเรือเพื่อความพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม คือ หัวใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุน

ความตึงเครียดทางการค้าระหว่าง “สหรัฐและจีน” ทวีความรุนแรงขึ้น และมีการผ่อนปรนภาษีบางรายการชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนพ.ค.2568 โดยเดือนที่แล้วทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงกันที่จะขยายเวลาสงบศึกทางการค้าออกไปอีก 90 วัน จนถึงกลางเดือนพ.ย.2568

ซีเอ็นบีซี เปิดเผยรายงานผลสำรวจความเห็นหอการค้าอเมริกัน (Amcham) ในเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2568 ว่า มีธุรกิจสหรัฐมากถึง 47% หรือ “เกือบครึ่ง” ที่ระบุว่าได้เปลี่ยนแผนการลงทุนจากจีนไปภูมิภาคอื่นแทนช่วงปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในอาเซียน

ตัวเลขผลสำรวจดังกล่าวยังนับว่าเป็นสัดส่วนที่ “สูงที่สุด” นับตั้งแต่ที่หอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้เคยสำรวจความเห็นมา

รายงาน AmCham Shanghai’s 2025 China Business Survey ซึ่งสำรวจความเห็นสมาชิกบริษัทอเมริกัน 254 แห่ง ถูกเผยแพร่ออกมาไม่นานหลังความตึงเครียด 2 ประเทศ สูงขึ้น

“สำหรับบริษัทแล้ว ระยะเวลา 90 วันนั้นสั้นเกินไป” เอริค เจิ้ง ประธาน AmCham Shanghai กล่าวกับผู้สื่อข่าวพร้อมชี้ให้เห็นว่าการวางแผนห่วงโซ่อุปทานนั้นต้องใช้เวลานานกว่านั้นมาก "อย่างน้อยในตอนนี้เราก็ไม่ต้องเจอภาษีที่สูงขึ้น แต่ปัญหายังไม่ได้หายไปยังคงอยู่”

ในการสำรวจความเห็นระหว่างวันที่ 19 พ.ค. - 20 มิ.ย.2568 มีบริษัทสหรัฐมากถึง 47% ระบุว่า ได้ย้ายการลงทุนที่วางแผนไว้แล้วสำหรับจีนไปเป้าหมายการลงทุนที่อื่นแทน โดยส่วนใหญ่ย้ายไปประเทศในอาเซียน ซึ่งนับเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่สำรวจครั้งแรกที่ถามเกี่ยวกับแผนการย้ายการลงทุนออกจากจีนในปี 2560

ส่วนเป้าหมายการลงทุนรองลงมา คือ ประเทศในอนุทวีปอินเดีย ซึ่งรวมถึงบังกลาเทศ ในขณะที่ “สหรัฐ และเม็กซิโก” อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่านั้นมาก

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐพยายามส่งเสริมให้ภาคธุรกิจย้ายการผลิตในต่างประเทศกลับสหรัฐ แต่ยังมีบริษัทเพียงส่วนน้อย ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงที่ประกาศจะลงทุนในสหรัฐ ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์เองได้วิพากษ์วิจารณ์แผนธุรกิจของบริษัท “แอปเปิล อิงค์” ที่จะขยายการผลิตในอินเดีย

ด้านเว็บไซต์นิกเคอิเอเชียรายงานว่า “เกือบครึ่งหนึ่ง” ของบริษัทสหรัฐต้องการให้ประธานาธิบดีทรัมป์ “ยกเลิกภาษีศุลกากรทั้งหมด” ที่เก็บจากสินค้าจีน โดย 48% ของผู้ตอบแบบสอบถามเรียกร้องให้ยกเลิกทั้งภาษีศุลกากร และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีต่อสินค้าจีน

แม้สหรัฐกับจีนจะมีการพักรบชั่วคราว แต่ภาษีนำเข้าของสหรัฐต่อสินค้าจีนก็ยังคงสูงกว่าต้นปีถึง 30% ส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศชะลอตัวลง โดยการส่งออกสินค้าของจีนไปยังสหรัฐในเดือนสิงหาคม ลดลง 33.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐไปจีนก็ลดลง 16%

รายงานของหอการค้าอเมริกัน ยังระบุว่า “ความผันผวนของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ ได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมหาศาลให้กับบริษัทต่างชาติที่ดำเนินธุรกิจในจีน ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทที่ส่งออกกลับไปยังตลาดสหรัฐเท่านั้น”

ภาษีทรัมป์กระทบรายได้บริษัทในจีน

เกือบสองในสามของสมาชิกหอการค้าคาดว่า ความตึงเครียดเรื่องภาษีจะส่งผลกระทบด้านลบต่อรายได้ในจีน โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ โลจิสติกส์ และการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนได้รับผลกระทบมากที่สุด

ขณะเดียวกัน อีริก เจิ้ง ประธานหอการค้าอเมริกันในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า บางบริษัทได้รับผลกระทบ “ทั้งสองทาง” เนื่องจากต้องนำเข้าชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปจากสหรัฐเข้ามาในจีน ก่อนจะส่งออกสินค้าแปรรูปขั้นสุดท้ายกลับไปยังอเมริกาอีกครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีบางบริษัทที่ “ตกเป็นเป้าโดยตรง” เช่น จีนได้เปิดการสอบสวนการผูกขาดต่อดูปองท์ บริษัทเคมีภัณฑ์สัญชาติอเมริกัน ไม่นานหลังจากที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ แต่การสอบสวนถูกระงับไปในเดือนกรกฎาคม ก่อนที่ผู้แทนการค้าของทั้งสองฝ่ายจะพบกัน โดยไม่ได้มีการชี้แจงเหตุผลของการระงับ

ผู้ตอบแบบสอบถามยังเห็นตรงกันว่า “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์” ยังคงเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน รองลงมาคือ ปัญหาการลดลงของประชากร และความอ่อนแอในตลาดอสังหาริมทรัพย์

นอกจากนี้ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกับบริษัทจีน ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งความกังวลสำคัญ โดยมีเพียงสองด้านเท่านั้นที่ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากมองว่า คู่แข่งท้องถิ่นยังตามหลังอยู่ ได้แก่ คุณภาพสินค้า และการพัฒนา

ขณะที่ในด้านอื่น ๆ อย่างการขายและการตลาด กลยุทธ์ดิจิทัล และความรวดเร็วในการนำสินค้าออกสู่ตลาด ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากกลับรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายตามหลัง

เจฟฟรีย์ เลห์แมน ประธานหอการค้าอเมริกันประจำเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า “แม้สมาชิกจะสังเกตเห็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบ แต่สิ่งเหล่านี้ยังถูกบดบังด้วยความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองรัฐบาลร่วมกันสร้างกรอบที่มั่นคง และโปร่งใส เพื่อเอื้อต่อการค้า และการลงทุนข้ามพรมแดน”

คลื่นทุนสหรัฐหนีจีนรอบใหม่ ไทยรับลงทุน ‘ตั้งนิคมฯ ใหม่’ พุ่ง 3 ปี 3.4 หมื่นไร่

3 ปีตั้งนิคมฯ ใหม่ 3.4 หมื่นไร่

แหล่งข่าวจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ระบุว่า ช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา มีคลื่นการย้ายฐานการผลิตจากจีนเข้ามาอาเซียน และไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับการลงทุนทั้งนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ.และนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินการ โดยระหว่างปี 2566-2568 มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมใหม่ 18 แห่ง รวมพื้นที่ 34,645 ไร่ อาทิ

กลุ่ม WHA มีการพัฒนา 2 นิคมอุตสาหกรรม คือ นิคมอุตสาหกรรม WHA ระยอง 36 พื้นที่ 1,281 ไร่ และนิคมอุตสาหกรรม WHA Industrial estate ระยอง พื้นที่ 2,101 ไร่

ในขณะที่บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) พัฒนานิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะแหลมฉบัง โรจนะ พื้นที่ 943 ไร่ , นิคมอุตสาหกรรมโรจนะชลบุรี 2 พื้นที่ 902 ไร่ และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะชลบุรี 2 (เขาคันทรง) พื้นที่ 1,987 ไร่

ส่วนบริษัท อมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม 1 แห่ง คือ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี โครงการ 2 พื้นที่ 8,226 ไร่

นอกจากนี้ เฉพาะในปี 2568 มีการเสนอคณะกรรมการ กนอ.ให้ความเห็นชอบจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่รวมพื้นที่ 15,000 ไร่ รวมทั้งมีนิคมอุตสาหกรรมใหม่ที่เตรียมเสนอคณะกรรมการ กนอ.อีก 2 แห่ง คือ 

1.นิคมอุตสาหกรรมเอเพ็กซ์กรีน อินดัสเตรียล เอสเตท (ส่วนขยาย) 459 ไร่ ของบริษัท เอเพ็กซ์ ปาร์ค จำกัด

2.นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง (ส่วนขยาย) พื้นที่ 2,807 ไร่ ของบริษัท อมตะคอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)

กนอ.ชี้เทรนด์ลงทุนไทยขยายตัว

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ.กล่าวว่า การลงทุนในไทยยังมีแนวโน้มขยายตัว โดยเมื่อดูจากการขอสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ครึ่งแรกปี 2568 กว่า 1 ล้านล้านบาท 

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับยอดขาย/เช่าที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปี 2566 กว่า 6 พันไร่ และปี 2567 กว่า 7 พันไร่ แต่ปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.- ก.ย.2568) จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 1 หมื่นไร่ น่าจะไม่ถึง โดยเดือนก.ค.อยู่ที่ 5,630 ไร่ คาดว่าปิดปีงบประมาณ 2568 จะมียอดขายรวม 6 พันไร่ จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ถดถอย

รวมทั้งเชื่อว่าโอกาสการขยายการลงทุนในไทยยังมีอยู่ จากอัตราการเติบโตโดยปริมาณยอดขอกับยอดขายที่ดิน อีกทั้งยังมีที่ดินนอกนิคมฯ ซึ่งอัตราการขอและเปิดนิคมฯ ตัวเลขก็ไปด้วยกัน ส่วนปี 2569 กนอ.มั่นใจว่าจะลงนามเปิดพื้นที่ได้ตามเป้าหมาย 1 หมื่นไร่แน่นอน โดยนักลงทุนเห็นโอกาสจากปัจจัยต้นทุนที่ดี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม การออกกฎระเบียบที่ชัดเจนและสะดวกกับนักลงทุน

“หลังเดือน ก.ย.นี้ น่าลุ้นแต่น่าจะไม่เลวร้ายนัก และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไทยมีโอกาสบางอุตสาหกรรม เมื่อมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นก็ต้องการคน กนอ.จะช่วยออกแบบการลงทุนเพื่อทำให้เป็น ‘อีโคโนมิกโซน’ เคลื่อนที่ได้ โดยมี BOI เข้ามาร่วม และสิ่งสำคัญสุดคือออกแบบคลัสเตอร์ที่จะร่วมกับ ส.อ.ท.” นายสุเมธ กล่าว

เร่งเตรียมพื้นที่รับการลงทุน

ขณะนี้มีผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั้งในส่วนที่ขอลงทุนพัฒนาพื้นที่ใหม่และส่วนที่ขอขยายพื้นที่จากโครงการเดิมเพื่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แต่ไม่สามารถลงทุนพัฒนาพื้นที่ได้เพราะติดปัญหาสีผังเมืองจำนวนกว่า 40 โครงการ โดยคิดเป็นพื้นที่แปลงละประมาณ 700-1,000 ไร่ รวมทั้งหมดหลายหมื่นไร่ คิดเป็นมูลค่าลงทุนหลักแสนล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผังเมืองสีเหลือง ยังไม่สามารถปรับเป็นสีม่วงได้

ดังนั้น ต้องเร่งรัดให้เกิดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้ง่ายขึ้น และทันต่อความต้องการเข้ามาลงทุนในไทยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 2-3 แสนไร่ ในอนาคต เพราะการพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต้องใช้เวลาหากล่าช้าจะแข่งขันกับประเทศอื่นไม่ได้ เพื่อไปสู่เป้าหมายการเพิ่มสัดส่วน FDI ให้ได้ 27% จากปัจจุบันอยู่ที่ 24% ของ GDP คิดเป็นมูลค่า 3.5 แสนล้านบาทต่อปี ในระยะข้างหน้า

สอท.มั่นใจไทยมีเสน่ห์ดึงลงทุน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังมีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ซึ่งสร้างโอกาสให้ไทยในการดึงเม็ดเงินลงทุน 

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับกติกาใหม่ของโลก เช่น มาตรการกีดกันทางการค้า และข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content หรือ RVC) ที่เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% ซึ่งทำให้การนับต้นทุนและการผลิตต้องเปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจโลก และการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่มีโอกาสสำคัญจากการไหลเข้าของเงินลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรม S-Curve และ New S-Curve

รวมทั้งการที่นักลงทุนจะตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานการผลิตพิจารณาปัจจัยสำคัญรอบด้านไม่ว่าจะเป็นทำเลยุทธศาสตร์ โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับเทคโนโลยีขั้นสูง พื้นที่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ ตลาด และท่าเรือเพื่อความพร้อมสำหรับการส่งออก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม คือ หัวใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุน

นอกจากนี้ พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุน เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านทำเล โครงสร้างพื้นฐาน และ Ecosystem ที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมสมัยใหม่ อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ Data Center เกษตรและชีวภาพขั้นสูง รวมถึง Climate Tech 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์