‘เงินบาทแข็ง’ ทุบซ้ำเศรษฐกิจ ช็อกแข็งค่าเร็วฉุดรายได้ ‘ส่งออก-ท่องเที่ยว’

เงินบาทแข็งค่าแรงเร็ว กระทบเศรษฐกิจ จับตาผู้ว่าฯ ธปท.- รมว.คลังคนใหม่ มีนโยบายดูแลอัตราแลกเปลี่ยน “หอการค้า” ชี้แข็งค่าสวนทางเศรษฐกิจ กระทบส่งออก ท่องเที่ยว เกษตร พร้อมเร่งรัฐบาล - ธปท.หามาตรการดูแล “ผู้ส่งออก” ช็อกแข็งค่าเร็ว หวั่นกระทบคำสั่งซื้อหดตัว “สมาคมโรงแรมไทย” ห่วงรายได้ท่องเที่ยวลดลง ขอค่าเงิน 33 บาท
KEY
POINTS
- เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 4 ปี โดยมีปัจจัยหลักมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น และเงินทุนไหลเข้าจากต่างชาติ
- การแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว เนื่องจากทำให้ราคาสินค้าไทยแพงขึ้น และต้นทุนการเดินทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้น
- ภาคเอกชนแสดงความกังวลว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง และเรียกร้องให้ภาครัฐ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีครั้งใหม่ที่ระดับ 31.58 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันที่ 9 ก.ย.2568 ก่อนจะอ่อนค่ากลับมาที่ระดับ 31.74 ในช่วงบ่าย สอดคล้องกับทิศทางของเงินหยวน และสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ จากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทเดือนก.ย.ที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก เพราะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าภาพรวมเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 7.5% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งขยับขึ้นมาเป็นอันดับต้นของสกุลเงินเอเชีย
สำหรับแนวโน้มเงินบาทระยะสั้น ประเมินว่ามีโอกาสขยับแข็งค่าไปทดสอบแนว 31.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากมีหลายปัจจัยกดดัน Sentiment เงินดอลลาร์ อาทิ แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดช่วงที่เหลือปีนี้ โดยต้องติดตามการส่งสัญญาณของเฟดผ่าน dot plot ใหม่ หลังการประชุม FOMC เดือนก.ย.นี้
ขณะที่การคาดการณ์เงินบาทอยู่ทิศทางแข็งค่า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าหากเงินบาทหลุดระดับที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 31.30 บาทต่อดอลลาร์และเชื่อว่าเงินบาทอาจไม่กลับไปแตะระดับสูงสุดในกลางปี 2521 ที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ เพราะคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะเข้าไปดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากนัก
บาทแข็งกระทบผู้ส่งออก-รายได้ธุรกิจ
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นประเด็นน่ากังวล โดยการแข็งค่าหลักมาจาก “ค่าเงินดอลลาร์” ที่อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568
โดยการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นผลมาจากการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการเข้าไปแทรกแซงความเป็นอิสระในการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปแล้วเกือบ 10% ในปีนี้ ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งคล้ายกับหลายประเทศที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องจับตา คือ หลังจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ และรัฐมนตรีคลังคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง อาจมีนโยบายที่สามารถช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้างในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม มองว่าผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ส่งผลต่อการส่งออกในช่วงปลายปีนั้น และส่งผลกระทบต่อสินค้าบางชนิด และรายได้ของผู้ผลิต และผู้ส่งออกอย่างแน่นอน
“หอการค้า” ชี้ เงินบาทแข็งค่ารุนแรง สวนทางเศรษฐกิจ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนห่วงใยสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องจนแตะระดับ 31.70 บาทต่อดอลลาร์ ถือเป็นการแข็งค่าเร็ว และรุนแรงสุดรอบหลายปี และสวนทางเศรษฐกิจจริงของประเทศ โดยการแข็งค่าของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก การท่องเที่ยวและเกษตรกรรม ซึ่งเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การส่งออกต้องเผชิญการแข่งขันที่ยากลำบาก เพราะราคาสินค้าไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบประเทศคู่แข่งส่งผลต่อยอดขาย และรายได้จากต่างประเทศ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลจากเงินบาทแข็งค่าทำให้ไทยมีต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงลดแรงจูงใจเดินทางมาไทย
ขณะที่ภาคเกษตรกรรม เกษตรกรไทยที่พึ่งการส่งออกได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนและรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าเงิน โดยเฉพาะข้าวนาปี และพืชไร่ที่กำลังจะออกมา
ชี้ 2 ปัจจัยหลักกดดันเงินบาทแข็งค่า
ดร.พจน์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งรุนแรงกว่าประเทศอื่นไม่ใช่แค่ปัจจัยในประเทศเพียงอย่างเดียวแต่เป็นผลจากปัจจัยภายนอก คือ
1.ปัจจัยเงินดอลลาร์อ่อนค่า เพราะตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดอัตราดอกเบี้ยลงทำให้ค่าเงินหลายประเทศในภูมิภาคแข็งค่าขึ้นอัตโนมัติ
2.ปัจจัยทองคำ โดยไทยถือครองทองคำจำนวนมาก และราคาทองคำในตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่องทำให้มีการขายทองคำเป็นเงินตราต่างประเทศ และแปลงกลับเป็นเงินบาท ส่งผลให้ต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศคู่ค้าอย่างผิดปกติ รวมถึงมี fund flow ที่เข้ามา และอาจมาจาก Crypto ด้วย
นอกจากนี้มีปัจจัยภายนอกที่ซ้ำเติมความเปราะบาง ได้แก่ มาตรการภาษีตอบโต้ที่สหรัฐ และยุโรปกำลังทบทวน ซึ่งกระทบความสามารถการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย และซ้ำเติมผลกระทบเงินบาทแข็งค่า โดยมีข้อจำกัดด้านการแทรกแซงค่าเงิน
รวมทั้งการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลค่าเงินบาทเข้มข้นอาจทำให้ไทยถูกเพ่งเล็งว่า “บิดเบือนค่าเงิน” โดยเฉพาะจากสหรัฐที่กล่าวถึงการเชื่อมโยงกับการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องวางนโยบายอย่างรอบคอบ
กกร.แนะแยกดุลทองคำออกใช้ชัดเจน
ทั้งนี้ หอการค้าไทย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เคยเสนอควรแยกดุลทองคำออกมา เพื่อให้ประเมินผลกระทบค่าเงินได้ตรงจุด และขอให้ ธปท.ดูแลอย่างเป็นระบบ เพราะหากปล่อยให้ค่าเงินผันผวนแบบไม่สะท้อนศักยภาพแท้จริงของเศรษฐกิจจะทำให้ผู้ประกอบการเสียความสามารถการแข่งขัน
รวมทั้งหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ แม้ภาครัฐจะใช้เงินทุนสำรองเข้ามาแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราแลกเปลี่ยนอาจต้องใช้เงินจำนวนมาก และเสี่ยงต่อการสูญเปล่าโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
"ขอให้รัฐบาล และ ธปท.เร่งพิจารณามาตรการที่เหมาะสมเร่งด่วน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ระดับสะท้อนเศรษฐกิจจริง และไม่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขัน เพราะเงินบาทแข็งค่าเกินไป” ดร.พจน์ กล่าว
ผู้ส่งออกหวั่นบาทแข็งทำคำสั่งซื้อหด
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงจาก 34 บาทต่อดอลลาร์มาอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ กระทบการส่งออกมาก ทำให้ยอดขายหายไปเยอะ
ทั้งนี้ เงินบาทที่แข็งค่า 1 บาท จะทำให้เงินหายไป 10 ล้านบาท เช่น หากยอดขาย 10 ล้านดอลลาร์ โดยเงินบาทอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทย 340 ล้านบาท แต่หากเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์หรือแข็งขึ้น 2 บาท ยอดขายเท่าเดิม แต่เงินจะหายไป 20 ล้านบาท หรือหายไป 5.8% ถือว่าเยอะมาก โดยเฉพาะกรณีที่ใช้วัตถุดิบในประเทศผลิตสินค้าทั้งหมด
“ผู้ส่งออกช็อกกับเงินบาทที่แข็งค่าเร็วมาก ซึ่งบริษัทใหญ่จะประคองได้เพราะทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน แต่ผู้ส่งออกขนาดกลาง และเล็กที่ไม่มีเงินทุนจะลำบากซึ่งใช้วิธีการเจรจาคู่แข่งเพื่อปรับราคาสินค้า“ นายธนากร กล่าว
ส่วนกรณีใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศก็ต้องมาคำนวณใหม่ เพราะการนำเข้าจ่ายเป็นดอลลาร์ แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าเท่ากับจ่ายเงินบาทน้อยลง ดังนั้นบริษัทที่มีโครงสร้างการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อการผลิตที่แตกต่างกันจะมีผลกระทบต่างกัน
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นจากการมีรัฐบาลใหญ่ และมีทีมเศรษฐกิจจากภาคเอกชนเป็นมืออาชีพมาดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้นำเงินลงทุนมาเทรดในตลาดเพื่อเก็งกำไร ซึ่งไม่รู้จะเป็นแบบชั่วคราวหรือไม่ แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งเงินบาทแข็งค่ากว่ามาก
นอกจากนี้ ธปท.ต้องมาดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากขึ้นเพราะไทยเป็นผู้ส่งออก ซึ่งหวังจะเป็นแค่ระยะสั้น อย่างไรก็ตามการรักษาสมดุลเงินบาท และไม่ตกเป็นการโจมตีค่าเงินบาทมีความสำคัญ ดังนั้นรัฐบาลต้องประเมินกำลังเสียท่าหรือเป็นเรื่องชั่วคราว
บาทแข็งกระทบ “ท่องเที่ยว” ระยะยาว
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าระยะยาว แม้ระยะสั้นไฮซีซันปลายปี 2568 ยังไม่เห็นผลกระทบ แต่ระยะยาวไม่ดีกับการท่องเที่ยว
รวมทั้งต้องดูค่าเงินคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม โดยดูค่าเงินขึ้นลงเหมือนค่าเงินบาทหรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นแรงบวกให้ประเทศคู่แข่ง ซึ่งเหมือนญี่ปุ่นที่ค่าเงินเยนอ่อนค่ายาวทำให้การท่องเที่ยวได้อานิสงส์มีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเที่ยวจำนวนมากเพราะไม่แพงเหมือนก่อน
“อยากให้กระทรวงการคลัง และ ธปท.ดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสม เพราะตอนนี้แข็งเกินจริง อยากให้อยู่ระดับ 32.5-33.0 บาทต่อดอลลาร์ เพราะหากแข็งค่าเกินไปในระยะสั้นจะกระทบการส่งออก และถ้าแข็งค่าระยะยาวจะกระทบการท่องเที่ยวตามมา โดยจำนวนนักท่องเที่ยวอาจไม่ลดลงแต่จะกระทบการใช้จ่ายเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่กำหนดงบประมาณใช้จ่ายในแต่ละทริปเท่าเดิมในแต่ละปี”
ส.อ.ท.ชี้ส่งออกกระทบหนัก
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” กรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจากการที่ผู้ร่วมตลาดคาดการณ์ว่าการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีแนวโน้มจะผ่อนคลายขึ้น ขณะที่เงินบาทได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและรุนแรงที่สุดในรอบ 4 ปี และสวนทางเศรษฐกิจจริงจึงไม่ผลดีต่อภาคการส่งออก และกระทบภาคการท่องเที่ยว ภาคเกษตรกรรม และSMEs แม้การนำเข้าสินค้าถูกลง โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงแต่เวลานี้ต้องกระตุ้นการส่งออกมากว่านี้ เพราะหากปล่อยให้กลไกค่าเงินผันผวนโดยไม่สะท้อนศักยภาพเศรษฐกิจจะทำให้นักธุรกิจไทยเสียความสามารถในการแข่งขัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







