ครม.ขยายสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้เป็น 50% สศช.เตือนฉุดเชื่อมั่น

ครม.ขยายสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้เป็น 50%  สศช.เตือนฉุดเชื่อมั่น

สัญญาณการคลังไทยอ่อนแอ ครม.รับทราบการขยายเพดานหนี้สาธารณะในส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ จากเดิมไม่เกิน 35% เป็นไม่เกิน 50%

KEY

POINTS

  • สัญญาณการคลังไทยอ่อนแอ ครม.รับทราบการขยายเพดานหนี้สาธารณะในส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ จากเดิมไม่เกิน 35% เป็นไม่เกิน 50% ตามมติคกก.นโยบายการเงินการคลัง
  • หลังตัวเลขการจัดเก็บรายได้ต่ำลงต่อเนื่อง และสัดส่วนหนี้ต่องบประมาณเริ่มเกินเพดานมาตั้งแต่ปี 2567
  • และในการจัดทำงบประมาณตามกรอบการคลังระยะปานกลางมีแนวโน้มจะเกินเพดานต่อเนื่อง
  • สศช.ห่วงกระทบเชื่อมั่นนักลงทุนและความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวม
  • แนะเร่งเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ลดขาดดุลงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ

นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ ครม.รับทราบสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยมีประเด็นสำคัญคือการทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะโดยสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ได้รายงานว่าสัดส่วนดังกล่าวได้เกินจากเพดานที่กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 35% ของสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ โดยอยู่ที่ 35.14%

ทั้งนี้เหตุผลที่สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯเกินกว่ากรอบเนื่องจากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุล และต้องปรับโครงสร้างหนี้ของการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  

ประกอบกับรัฐบาลต้องใช้เครื่องมือระยะสั้น (ตั๋วเงินคงคลัง ตั๋วสัญญาใช้เงิน และสัญญากู้เงินระยะสั้น)ในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นตามสภาพคล่องและความต้องการของนักลงทุนส่งผลให้หนี้กระจุกตัวและทยอยครบกำหนดเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ในคราวประชุมคณะกรรมนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.ปี 2567 ที่ประชุมฯได้พิจารณาทบทวนสัดส่วนที่ใช้เป็นกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ  โดยสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ ณ สิ้นเดือน ก.ย.2567

สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ อยู่ที่ 31.15 เกินกรอบสัดส่วนปัจจุบันที่กำหนดให้ต้องไม่เกิน 35%  และจากประมาณการตามแผนการคลังระยะปานกลาง ปึงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2572 พบว่า สัดส่วนดังกล่าวจะเกินกรอบที่ 35% อีกครั้งตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2570 เป็นต้นไป จึงเห็นควรขยายกรอบสัดส่วนจากเดิมที่ไม่เกิน 35% เป็นไม่เกิน 50% เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงบประมาณในช่วงเวลาดังกล่าว

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ให้ความเห็นว่ากรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ เป็นกรอบวินัยการเงินการคลังเพื่อรักษาความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และควบคุมความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ โดยการปรับกรอบสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ จากเดิมไม่เกิน35% เป็นไม่เกิน 50% อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวม ซึ่งยังคงมีแรงกดดันทางการคลังอยู่ในระดับสูงจากภาระหนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลรับภาระเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้นการปรับกรอบสัดส่วนดังกล่าวควรเป็นการปรับกรอบเป็นการชั่วคราวโดยภาครัฐควรมีเป้าหมายและแนวทางการเร่งรัดการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญต่อการลดขนาดการขาดดุลงบประมาณ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ ตลอดจนการจัดสรรรรบชำระหนี้ ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีงบประมาณ

โดยเฉพาะการจัดสรรงบชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลให้เพิ่มขึ้นเพื่อลดภาระหนี้ของรัฐบาลในระยะต่อไปที่ชัดเจน รวมถึงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการด้านวินัยการเงินการคลังของรัฐและการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในภาพรวมต่อไป

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาแล้วมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การกำหนดสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯเป็นการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ ดังนั้น จึงควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารต่อสาธารณะให้เข้าใจถึงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับเพิ่มสัตส่วนดังกล่าวเพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ

ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้เพื่อให้สามารถรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้และวินัยการเงินการคลังควบคู่กันไปด้วยและอาจพิจารณาทบทวนสัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ฯ ตามความเหมาะสมเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป

ทั้งนี้รัฐบาลควรพิจารณาดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตควบคู่ด้วย เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ การก่อหนี้เพิ่มเติมเท่าที่จำเป็น และการจัดสรรงบประมาณ เพื่อการชำระหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้น