เมฆหมอกเริ่มจางหาย แต่ความท้าทายมีมากขึ้น | Global Vision

เมฆหมอกเริ่มจางหาย แต่ความท้าทายมีมากขึ้น | Global Vision

เข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี 2568 เศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณบวกมากขึ้น หลังจากผ่านช่วงความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าที่ตึงเครียด สถานการณ์เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อสหรัฐได้กำหนดอัตราภาษี “Reciprocal Tariff”

ในระดับที่ต่ำกว่าที่ประกาศเดิมมาก โดยประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปและญี่ปุ่นถูกเก็บประมาณ 15% ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย เวียดนามและฟิลิปปินส์ถูกเก็บ 19-20%

การที่อัตราภาษีจริงลดลงจากที่ประกาศเดิม การเลื่อนระยะเวลากว่า 100 วันให้ภาคเอกชนปรับตัว และความชัดเจนว่าเป็นเครื่องมือต่อรองแบบครอบคลุม ช่วยหลีกเลี่ยงการตอบโต้รุนแรงและสร้างเสถียรภาพการค้าโลกมากขึ้น ทำให้ GDP โลกปี 2568-2569 อาจขยายตัวที่ 2.9% และ 3.0% ตามลำดับ

ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่เมื่อศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐตัดสินเมื่อวันที่ 29 ส.ค.2568 ด้วยคะแนน 7-4 ว่าภาษีศุลกากร “Reciprocal Tariff” ส่วนใหญ่ของทรัมป์เป็นโมฆะ เพราะใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ศาลอนุญาตให้เก็บภาษีต่อได้ถึง 14 ต.ค.2568 เพื่อรอการอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด

หากภาษีถูกยกเลิก รัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีที่เก็บไปแล้วซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของรัฐบาลกลางอย่างรุนแรง 

อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาที่มีผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยม 6 จาก 9 คน (และทรัมป์แต่งตั้งเอง 3 คน) อาจเป็นด่านสำคัญในการตัดสินมาตรการภาษีของทรัมป์ สำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปนั้น จะชะลอแรงขึ้นและลากยาวสู่ครึ่งแรกของปี 2569

โดยใน 4 ไตรมาสนับจากนี้ อาจขยายตัวได้ต่ำกว่า 1% ทำให้ทั้งปี 2568-2569 เศรษฐกิจไทยคาดขยายตัวได้ประมาณ 1.8% และ 1.4% ตามลำดับ โดยปัจจัยเสี่ยงได้แก่ (1) สัญญาณเศรษฐกิจชะลอลงเริ่มเห็นเด่นชัดขึ้นตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นไป

(2) ความผันผวนทางการเงินที่จะมีมากขึ้นจากนโยบายการเงินสหรัฐที่จะผันผวน (3) สินค้าคงคลังที่มีแนวโน้มจะกลับมาหดตัวอีกครั้งในครึ่งปีหลังหลังจากการลงทุนในไตรมาสที่ 2 เร่งตัวขึ้น ท่ามกลางการค้าโลกที่แย่ลง เห็นได้จากการส่งออกจีนที่ขยายตัวชะลอลงแรงในเดือน ส.ค.

และ (4) ภาคการเกษตรที่มีความเสี่ยงมากขึ้นทั้งจากราคาสินค้าเกษตรโลกที่ผันผวนและผลกระทบจากสงครามการค้า ซึ่งจะทำให้รายได้เกษตรกรลดลงและกระทบการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนั้น จำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอลงก็กระทบต่อการใช้จ่ายภาคบริการด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งรัฐบาลภูมิใจไทยภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดระยะเวลา 4 เดือนและเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่ก็อาจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจได้บ้างจาก

(1) โครงการคนละครึ่งรูปแบบใหม่ด้วยงบประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาทจากงบกลางที่มี 6.3 แสนล้านบาท ซึ่งอาจกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.1%

(2) การแต่งตั้งนักวิชาการและผู้บริหารกระทรวงการคลังอย่าง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ที่มีประสบการณ์การบริหารราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชนเป็น รมว. คลัง น่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น

ประกอบกับการปรับเปลี่ยนหัวหน้าหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒน์ และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พร้อมกัน อาจทำให้ความร่วมมือเชิงนโยบายมีมากขึ้น

(3) โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่อาจสามารถดำเนินต่อไปตามแผนเดิมโดยใช้เงินกู้และงบรัฐวิสาหกิจ ขณะที่การเบิกจ่ายงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย วงเงิน 1.1 แสนล้านบาทอาจผลักดันได้ต่อเนื่อง

ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อตลาดเงินตลาดทุนไทยระยะสั้น โดยตลาดหุ้นไทยอาจได้รับแรงหนุนระยะสั้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน

ในส่วนของสหรัฐ ความเสี่ยงด้านนโยบายการเงินจะมีมากขึ้น โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ส่งสัญญาณชัดเจนว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. สอดคล้องกับความเสี่ยงต่อตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น และการจ้างงานใหม่เพิ่มเพียง 22,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 75,000 ตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่า การจ้างงานใหม่ที่ชะลอลงเป็นความเสี่ยง แต่อัตราว่างงานจะไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากกำลังแรงงานรวมที่ลดลง แต่เงินเฟ้อในระยะต่อไปเป็นความเสี่ยงมากขึ้นจากการขึ้นภาษีศุลกากร ซึ่งถ้าความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้น นายธนาคารกลางไม่น่าจะรีบลดดอกเบี้ย

ดังนั้น จึงเป็นไปได้การตัดสินใจนี้ส่วนหนึ่งอาจเป็นการยอมอ่อนต่อแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้ความเป็นอิสระของธนาคารกลางลดลง และเสี่ยงต่อเงินเฟ้อที่จะพุ่งสูงขึ้น และส่งผลต่อผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในระยะต่อไป

สำหรับประเทศไทย เงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ต่อเนื่องในปี 2568-2569 ที่ 0.25% และ 0.27% จากราคาน้ำมันที่ยังตกต่ำต่อเนื่อง ราคาสินค้าเกษตรที่อาจลดลงต่อจากภาวะ La Nina และความต้องการในประเทศที่ซึมเซา หนุนโอกาสการลดดอกเบี้ยในวัฏจักรนี้ได้ 3 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายลงไปสู่ 0.75%

แต่แม้ทิศทางดอกเบี้ยไทยจะลดลง แต่ค่าเงินบาทน่าจะมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ภายใต้นโยบายผ่อนคลายของ Fed ขณะที่การลดดอกเบี้ยของไทยเผชิญข้อจำกัดเชิงนโยบาย ทำให้คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทอาจแตะระดับ 31-32 บาท/ดอลลาร์ได้ในปี 2569

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ผู้เขียนเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปฏิรูปเชิงโครงสร้าง 3 ด้านหลัก

(1) การคลัง รัฐบาลอาจต้องพิจารณาปรับแก้กฎหมายวินัยการเงินการคลัง เปิดโอกาสให้สามารถทำโครงการขนาดใหญ่ได้ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่จะแย่ลงจากสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น

โดยหากรัฐบาลสามารถผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาทได้นั้น จะเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ 0.54-1.27% ต่อปี

(2) การเงิน ธปท. ควรปรับปรุงกฎหมายให้มุ่งเน้นความกินดีอยู่ดีควบคู่เสถียรภาพด้านการเงินและระบบการเงิน โดยอาจต้องแก้ไข กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ ธปท. ให้สามารถทำนโยบายการเงินอย่างยืดหยุ่นได้มากขึ้น

(3) การพัฒนา สภาพัฒน์ฯ ควรเน้นการวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนไป เพื่อวางยุทธศาสตร์ประเทศด้านคมนาคมและด้านเทคโนโลยีซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในช่วง 5 ปีนับจากนี้

ควบคู่กับการวิเคราะห์โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเชิงลึก เพื่อเป็นทางออกจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะผันผวนรุนแรงขึ้นในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า

แม้เมฆหมอกเศรษฐกิจโลกจะเริ่มจางหาย แต่ประเทศไทยยังต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายที่จะมีมากขึ้นในปีหน้า การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่