เกษตรล้อมกรอบป้อง‘สวมสิทธิทุเรียน’ รีแพคเกจอ้างเป็นของไทยส่งออกนอก

เกษตรฯ วางกฏให้ผู้ประกอบการส่งเอกสารการนำเข้า-ส่งออกป้องทุเรียนสวมสิทธิ ยกระดับมาตรฐานเกษตรไทย สานต่อทำสงครามสินค้าเกษตรเถื่อนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อปี 2567 ไทยทำรายได้จากการส่งออกทุเรียนตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์มี มูลค่า รวม 1.34 แสนล้านบาท และในปี2568 (ม.ค.-ก.ค.) ไทยมีรายได้จากการส่งออกทุเรียนแล้ว 1.11 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.06% ตลาดส่งออกสำคัญคือ จีน มูลค่า 1.0 แสนล้านบาท รองลงมาคือ มาเลเซีย มูลค่า 893 ล้านบาท และฮ่องกง 870 ล้านบาท ดังนั้นทุเรียนไม่เพียงเป็นพืชเศรษฐกิจของไทยที่ทำรายได้เข้าประเทศมหาศาล แต่ทุเรียนก็ยังเป็นสินค้าที่ต่างประเทศผลิตไทยและกำลังพยายามที่จะเข้ามาแต่งตัวในประเทศไทยก่อนใช้ชื่อเสียงเกี่ยวกับคุณภาพทุเรียนไทยเป็นทางลัดเข้าถึงตลาดมูลค่าสูง หากไม่ทำอะไรไม่เพียงชื่อเสียงทุเรียนไทยจะเสียหาย แต่นั่นหมายถึงแหล่งรายได้ของไทยอาจถูกทำลายด้วย
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ครั้งที่ 3/2568 ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตเป็นผู้ผลิต ผู้ส่งออก หรือผู้นำเข้าสินค้าเกษตรตามมาตรฐานบังคับ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกสินค้าทุเรียนแช่เยือกแข็ง โดยการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และเงื่อนไขภายหลังจากออกใบอนุญาตแล้ว กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องส่งเอกสารหลักฐานประกอบการนำเข้า-ส่งออกทุกครั้ง เพื่อป้องกันการนำเข้าทุเรียนจากต่างประเทศมาบรรจุหีบห่อใหม่ และสวมสิทธิกล่าวอ้างว่าเป็นสินค้าทุเรียนจากไทย ส่งผลให้สินค้าเกษตรไทยได้รับความเสียหาย อีกทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและสานต่อการทำสงครามสินค้าเกษตรเถื่อนอย่างต่อเนื่อง
เปิดสาระ2กฎกระทรวงยกระดับคุณภาพ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ได้มีการประกาศกฎกระทรวงแล้ว 2 ฉบับ ได้แก่ มาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง การปฏิบัติที่ดีสำหรับการผลิตทุเรียนแช่เยือกแข็ง (มกษ. 9046-2560) และมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง หลักปฏิบัติในการตรวจและรับผลทุเรียนสำหรับโรงรวบรวมและโรงคัดบรรจุ (มกษ. 9070-2566) ซึ่งปัจจุบันประเทศคู่ค้า กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องแนบรายงานผลวิเคราะห์ทุกชิปเมนต์ ทั้งการตรวจเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค 4 ชนิด โลหะหนักแคดเมียม และสารสีต้องห้าม Basic Yellow 2 (BY2) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 ก.พ. 2568 เป็นต้นมา เพื่อลดปัญหาการกีดกันทางการค้าและเป็นไปตามมาตรฐานการส่งออกของประเทศคู่ค้า
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาเห็นชอบร่างมาตรฐานสินค้าเกษตร จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ 1. การผลิตพืชโดยปลอดการเผา ครอบคลุมพืชเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเมล็ดแห้ง และอ้อยโรงงาน โดยกำหนดแนวทางการจัดการแปลงเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวให้ปลอดจากการเผาในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่ก่อนเพาะปลูก ระหว่างเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อป้องกันการเกิดการเผาในที่โล่ง (open burning) ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ร่างมาตรฐานนี้จึงถือเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาหมอกควันและ PM2.5 ทั้งนี้ ที่ประชุมขอให้ดำเนินการแบบภาคสมัครใจไปก่อน และค่อยปรับให้เข้มข้นขึ้น เพื่อรองรับพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดต่อไป
มาตรฐานสินค้าเกษตรมีคุณภาพ-ปลอดภัย
2. มันเทศ มีการกำหนดด้านคุณภาพและความปลอดภัยของมันเทศสดที่จำหน่ายแก่ผู้บริโภค ครอบคลุมการจัดเตรียม การบรรจุหีบห่อ และการควบคุมคุณภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจในสินค้าเกษตรไทย
3. หลักการปฏิบัติสำหรับการป้องกันและลดการปนเปื้อนสารหนูในข้าว เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ผลิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ในการป้องกันและลดการปนเปื้อน ครอบคลุมมาตรการด้านการป้องกัน การตรวจเฝ้าระวัง และการสื่อสารความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคและรักษาความเชื่อมั่นในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
4. การจัดหมวดหมู่สินค้าเกษตร เล่ม 2: อาหารแปรรูปจากพืช เป็นการจัดทำมาตรฐานที่อ้างอิงจาก Codex Classification of Foods and Animal Feeds (CXA 4-1989) โดยเพิ่มเติมข้อมูลของอาหารแปรรูปจากพืชที่มีจำหน่ายในประเทศไทยแต่ยังไม่มีในบัญชีโคเด็กซ์ มาตรฐานนี้จะถูกนำไปใช้ร่วมกับ มกษ. 9002 และ มกษ. 9003 เกี่ยวกับสารพิษตกค้าง เพื่อรองรับการตรวจสอบ กำกับดูแล และการค้าในระดับสากล
และ 5. การปฏิบัติที่ดีสำหรับศูนย์ผลิตน้ำเชื้อปศุสัตว์ ครอบคลุมศูนย์ผลิตน้ำเชื้อสำหรับโค กระบือ แพะ แกะ และสุกร ทั้งในรูปน้ำเชื้อสด แช่เย็น และแช่แข็ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าน้ำเชื้อมีคุณภาพ ปลอดภัยจากโรคติดต่อ และตรงตามข้อมูลพันธุ์สัตว์ที่ระบุ ลดความเสี่ยงจากโรคทางพันธุกรรมหรือความผิดปกติที่ถ่ายทอดผ่านน้ำเชื้อ มาตรฐานนี้ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวก การทำความสะอาดและบำรุงรักษา บุคลากรที่เกี่ยวข้อง สุขภาพและสวัสดิภาพสัตว์ การขนส่ง ไปจนถึงการบันทึกข้อมูลและการตามสอบ
อากาศ-น้ำหนุนผลผลิตทุเรียนเพิ่ม
สำหรับโครงการการผลิตทุเรียนของไทย ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า สถานการณ์การผลิต เนื้อที่ให้ผลทั้งประเทศเพิ่มขึ้นในทุกภาค เนื่องจากต้นทุเรียน ที่เกษตรกรขยายเนี้อที่ปลูกในปี 2563 เริ่มให้ผลผลิตได้ในปีนี้เป็นปีแรก
โดยเฉพาะแหล่งผลิต ที่สำคัญในภาคกลาง เช่นจังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราด เกษตรกรปลูกทดแทนยางพารา และไม้ผลอื่น สำหรับในภาคใต้ เช่น จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และยะลา เกษตรกรปลูกทดแทนกาแฟ ปาล์มน้ ามัน ยางพารา ไม้ผลอื่นๆ และปลูกเพิ่มในพื้นที่ว่าง
สำหรับผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอก ติดผล แม้ว่าในปี 2567 แหล่งผลิตสำคัญในภาคกลาง ทุเรียนได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ แปรปรวน มีฝนทิ้งช่วงนานและอุณหภูมิสูงกว่าปกติ ทำให้ต้นทุเรียนติดผลน้อยจึงได้พักต้น สะสมอาหาร
แต่ในปี 2568 ต้นทุเรียนส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุที่ให้ผลผลิตสูง อีกทั้งทุเรียน เป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนที่ดี จึงจูงใจให้เกษตรกรดูแลอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ เพิ่มขึ้น นอกจากนี้แหล่งผลิตทางภาคใต้ในปี 2568 สภาพภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอก ติดผลมากกว่าปี 2567 ที่มีอากาศร้อนมาก และฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ประกอบกับเกษตรกร ดูแลจัดการสวนดี และจัดหาแหล่งน้ำได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลผลิตในภาพรวมเพิ่มขึ้นด้วย







