ปิยะชาติ อิศรภักดี ถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ก้าวข้าม ‘กับดัก’ สู่อนาคต

ปิยะชาติ อิศรภักดี ถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ก้าวข้าม ‘กับดัก’ สู่อนาคต

ปิยะชาติ อิศรภักดี ถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ปัญหาที่ทำให้เศรษฐกิจไม่เดินหน้า ขาดการลงทุนเม็ดเงินใหม่ที่เข้าสู่ระบบทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโตเท่าที่ควร

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยเผชิญกับดักรายได้ปานกลางจากการขาดเม็ดเงินใหม่เข้าระบบ โดยภาคส่งออกและท่องเที่ยวเผชิญความท้าทาย นอกจากนี้ยังมีกับดักเชิงโครงสร้างที่พึ่งพาแรงงานมากกว่านวัตกรรม และปัญหาเชิงสังคมรุมเร้า
  • "ปิยะชาติ" เสนอแนวคิดยุทธศาสตร์ที่เป็นทางออก โดยต้องเข้าใจ 7 การเปลี่ยนผ่านของโลก และใช้ประโยชน์จาก 7 โอกาสที่ไทยมีศักยภาพ เช่น เกษตรมูลค่าสูง, การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ, การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ และการเงินเพื่อความยั่งยืน
  • การก้าวข้ามกับดักต้องอาศัยการปรับวิธีคิดเพื่อตั้งเป้าหมายร่วมกันของคนในชาติในการแข่งขันบนเวทีโลก โดยมีภาวะผู้นำที่แข็งแกร่ง
  • ผู้นำต้องกล้าตัดสินใจปฏิรูปโครงสร้าง และสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

ประเทศไทยยังก้าวไม่พ้นกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากเรื่องของเศรษฐกิจที่มีปัญหาเรื้อรังเท่านั้น แต่ยังมาจากจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขในหลายเรื่อง โดยเฉพาะโมเดลการสร้างรายได้เพื่อดึงเม็ดเงินใหม่เข้าประเทศ ที่ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และสร้างโอกาสเพื่อให้หลุดพ้นจากกับดักที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศมาอย่างยาวนาน

ปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แบรนดิ แอนด์ คอมพานีส์ จำกัด (BRANDi) ดีกรีนักธุรกิจไทยหนึ่งเดียวของไทยที่ได้รับเชิญเข้าร่วมสภาที่ปรึกษาอนาคตของ World Economic Forum ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” หัวข้อ “Out of the Trap” พาประเทศไทยพ้นกับดัก

สำหรับภาพปัญหาที่เป็นกับดักฉุดรั้งประเทศไทย คือ ไทยเผชิญบททดสอบที่ซับซ้อนจากปัจจัยภายในและแรงกดดันภายนอก และยังซ้ำเติมจากปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมที่กำลังเผชิญปัญหาคนเกิดน้อย คุณภาพแรงงานชั้นกลางลดลง และสังคมสูงวัยที่คนมีอายุยืนขึ้น ซึ่งกระทบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

นอกจากนี้ยังประสบปัญหาหนี้สินภาครัฐ ครัวเรือนและหนี้ภาพรวม ทำให้ต้นทุนดำรงชีวิตสูงขึ้น ตลาดแรงงานเองมีปัญหาทักษะไม่ตรงความต้องการ (skill mismatch) รวมถึงความสามารถการศึกษาค่อนข้างตกต่ำ ความไม่โปร่งใสและการขาดความไว้วางใจที่รัฐบาลมักกังวลความโปร่งใสทำให้ไม่เห็นปัญหาจริง และทำให้การทำงานร่วมกันถูกมองเป็นการฮั้วมากกว่าการสนับสนุนประเทศ

ส่วนกับดักใหญ่ที่ฉุดรั้งให้ไทยไม่เติบโตเต็มศักยภาพ ได้แก่ กับดักรายได้ปานกลางที่ปัญหาใหญ่มาจาก “ไม่มีเงินใหม่” เข้าระบบเศรษฐกิจมากพอ หากดูโครงสร้าง GDP พบการบริโภค การลงทุนเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นเพียงการหมุนเวียนของเงินก้อนเดิม

แต่สิ่งที่จะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นจริงมาจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่ง 2 เครื่องยนต์หลัก กำลังเผชิญความเหนื่อยล้า การส่งออกถูกกดดันจากสงครามการค้าและกำแพงภาษีที่ไม่แน่นอน 

ขณะที่การท่องเที่ยวยังพึ่งปริมาณนักเดินทางที่เข้ามามากกว่าคุณภาพ ทำให้รายได้เฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวไม่สูงพอจะเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ คือ ประเทศเหมือนบริษัทที่มีรายได้แต่ไม่สร้างกำไรเพื่อนำไปลงทุนต่อยอดที่มากขึ้นได้แท้จริง

ปิยะชาติ อิศรภักดี ถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ก้าวข้าม ‘กับดัก’ สู่อนาคต ปิยะชาติ อิศรภักดี ถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ก้าวข้าม ‘กับดัก’ สู่อนาคต

“เวลาที่เจอปัญหาซับซ้อนควรกลับมามองว่าอยากทําอะไร ถ้าโจทย์อยากเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หลุดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ต้องดูว่าต้องมี GDP เท่าไหร่ ประเทศต้องมองว่าจะทำอะไรที่มีกําไร ถ้าไม่มีกําไรจะลงทุนต่อยาก รายได้ประชาชนที่หมุนเวียนจะลดลง”

ประการที่ 2 กับดักเชิงโครงสร้างที่ปัจจุบันมีโครงสร้างเหมือนประเทศกำลังพัฒนาทั่วไปพึ่งพิงแรงงานและเงินทุนเป็นหลัก โดยขาดการพัฒนาความสามารถยกระดับการผลิตภาพรวม (Total Factor Productivity) ที่จะสร้างการเติบโตยั่งยืน ต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่สร้างนวัตกรรม ประสิทธิภาพและการสร้างมูลค่าเพิ่ม

ทั้งนี้ ประเทศพัฒนาแล้วมีความสามารถด้านผลิตภาพรวม โดยส่วนใหญ่ 60% คือ การเพิ่มมูลค่าสินค้าและการลงทุนนวัตกรรม มีระบบสถาบันที่ดีมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ยกระดับเพื่อให้ประชาชนใช้ประโยชน์ทั่วถึง

จากสถานการณ์ภายนอกขณะนี้โลกอยู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี โดยสหรัฐใช้นโยบาย “America First” พร้อมใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือดึงรายได้ ขณะที่จีนพยายามเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ด้วยการผลักดัน “Globalization” ที่ตนเองเป็นศูนย์กลาง

นอกจากนี้โลกสร้างกติกาใหม่ไม่ใช่แค่การค้าแต่ครอบคลุมสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนและเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือมาตรการ “CBAM” กลไกการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU) ประเทศที่ปรับตัวไม่ทันจะถูกทิ้ง

ดังนั้นทางออกประเทศต้องเริ่มปรับวิธีคิดมองตำแหน่งบนเวทีโลกว่าอยู่ตรงไหนแล้วจะแข่งอย่างไร เพราะการตั้งเป้าแข่งขันในเวทีโลกจะทําให้คนในประเทศมีวาระร่วม (common agenda) ไม่อย่างนั้นจะมีแต่ปัญหาทั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

“เหมือนทีมฟุตบอลที่เก่งในบ้านตัวเอง แต่เมื่อก้าวไปพรีเมียร์ลีกจะรู้มาตรฐานจริง การเปรียบเทียบเช่นนี้จะทำให้รู้ว่าต้องพัฒนาจุดใด ที่สำคัญคือการสร้างเป้าหมายร่วมให้คนในชาติเห็นตรงกัน เมื่อมีศัตรูหรือคู่แข่งร่วม ความขัดแย้งภายในจะลดลง”ปิยะชาติ ระบุ

ปิยะชาติ อิศรภักดี ถอดรหัสเศรษฐกิจไทย ก้าวข้าม ‘กับดัก’ สู่อนาคต

ส่วนประเด็นสำคัญถัดมาต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัด โดยเสนอแนวคิด “777” ประกอบด้วยทำความเข้าใจ 7 การเปลี่ยนผ่านของโลก (7 Transitions) ได้แก่

1.การเปลี่ยนผ่านทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics Transition) ที่โลกกำลังเปลี่ยนระเบียบอำนาจ ประเทศไทยต้องหาจุดแข็งของเราในโลกที่กำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านในเรื่องนี้

2.การเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจ (Economic Transition) ที่วิธีคิดกำลังเปลี่ยนจากประสิทธิภาพสูงสุดมาสู่ความมั่นคงของซัพพลายเชนการผลิต โดยไทยต้องคิดสร้างซัพพลายเชนที่ทำได้ตั้งแต่ต้นน้ำยันจบในประเทศ

3.การเปลี่ยนผ่านทางสังคม (Societal Transition) ต้องหาวิธีจัดการปัญหาสังคมสูงวัย คนเกิดน้อย หนี้สินครัวเรือน และการรีสกิล อัพสกิล ของแรงงานรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

4.การเปลี่ยนผ่านทางสภาพแวดล้อม (Environmental Transition) โดยปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นกฎหมายและข้อบังคับที่ต้องสร้างกลไกตลาดสำหรับ Green Product และ Service ให้เกิดขึ้น

5.การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี (Technological Transition) การก้าวเข้ามาของเทคโนโลยี เช่นการที่ต้องใช้ AI โดยในส่วนนี้ยังคงต้องเน้นในเรื่องของการที่ AI เข้ามาช่วยเสริมสร้างคุณค่าของมนุษย์ (Empower human values) ไม่ใช่ทดแทน

6.การเปลี่ยนผ่านในเรื่องของทุนมนุษย์ (Human Capital Transition) ซึ่งสิ่งสำคัญคือการต้องยกระดับการศึกษาของต้องพัฒนาคนให้มองได้กว้างและลึก และมีความสามารถทำงานร่วมกับ AI และมนุษย์

และ 7.การเปลี่ยนผ่านเรื่องระเบียบโลก (World Order Transition) โลกเข้าสถานการณ์ที่ไม่มีหน่วยงานใดทำงานโดยอิสระได้อีกต้องเน้นการทำงานแบบ Public Private People Partnership (PPPP) และส่งเสริมความร่วมมือภายในประเทศ

สำหรับโอกาสการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยใช้ 7 โอกาสที่เป็นเครื่องยนต์ที่ไทยมีจุดเด่นได้แก่

1.เกษตรกรรม บวกด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (Agriculture Plus Technology) โดยเน้นไปที่การสร้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูงเพื่อการส่งออกสินค้าไม่ใช่เน้นขายถูก

2.การเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition): ใช้ต้นทุนที่เรามี เช่น แสงแดด สายลม น้ำ และ Bio-mass เพื่อผลิตพลังงานสะอาด สร้างความได้เปรียบในการลงทุนจากต่างประเทศ

3.สุขภาพและการดูแล (Health and Wellness): พัฒนาเป็น Premium Sector โดยเฉพาะ โดยดึงเงินจากต่างประเทศเข้ามา เช่น การเปลี่ยนโรงพยาบาลเป็นรีสอร์ทสำหรับฟื้นตัวของผู้ป่วยที่ต้องการใช้จ่ายสูง

4.การท่องเที่ยว (Tourism): เปลี่ยนจากการเน้นปริมาณมาสู่การเน้นคุณภาพ (spending per head สูง) และส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ Long Stay

5.ศูนย์กลางโลจิสติกส์ (Logistic Hub): ใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ของเราที่เป็นจุดเชื่อมโยงที่ดี เพื่อเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าดิจิทัล

6.อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Sector): ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้ลงไปอยู่ในทุกสิ่งที่ทำ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์ (unique selling point)

7.การเป็นศูนย์กลางการเงินในลักษณะที่เป็น Transition Finance Hub โดยพัฒนากรุงเทพฯ เป็นฮับ Green Finance, Inclusive Finance, Sustainable Finance และ Blended Finance เป็นสถานที่นักลงทุนมาพูดคุยยกระดับตลาดให้มีความสนใจเรื่องผู้คนและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น

ปิยะชาติ กล่าวว่า การที่ทำให้ไทยหลุดพ้นจากกับดัก โดยเฉพาะกับดักเศรษฐกิจระยะสั้น หรือ Quick Wins ต้องเร่งสร้างรายได้เข้าประเทศมากขึ้น โดยการทำงานกับเวทีโลกอย่างแข็งขันและนำเสนอสิ่งที่มีสินค้าไปขายในตลาดที่มีกำลังซื้อ เช่น ตลาดตะวันออกกลาง 

ขณะที่นโยบายระยะยาวควรเน้นปรับโครงสร้างระบบเงินทุน ปรับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์เวทีโลก เปลี่ยนหน่วยงานกำกับให้มีบทบาทส่งเสริมด้วย (Duo Mandate) ปฏิรูประบบภาษี และจัดการเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ที่มีขนาดใหญ่ และลดความซ้ำซ้อนและไร้ประสิทธิภาพของหน่วยราชการเพื่อให้ประเทศแข่งขันได้

ส่วนการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของไทยนั้น ปิยะชาติ กล่าวว่า ระบบทุนนิยมนั้นภาคเอกชนเป็นพระเอก เพราะคล่องตัวและความสามารถการแข่งขันสูง แต่เอกชนเดินคนเดียวไม่ได้ รัฐบาลต้องแสดงภาวะผู้นำเข้มแข็งกล้าสื่อสารประชาชนในสิ่งที่ทำ 

รวมทั้งที่สำคัญการมีบทบาทในเวทีโลกเป็นวิธีแก้ปัญหาในประเทศ และกล้าตัดสินใจเรื่องที่อาจไม่ถูกใจ เช่น การนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบเพื่อเพิ่มรายได้ภาษีที่ใช้ความกล้าหาญทางการเมือง

 

“ไทยมีศักยภาพสูงมาก เปรียบเสมือนห้องครัวที่มีวัตถุดิบชั้นเลิศครบ แต่ขาดหัวหน้าเชฟที่จัดการและดึงศักยภาพได้เต็มที่ สิ่งที่ต้องการ คือ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ กล้าสื่อสารเป้าหมายร่วมกับสังคม และสร้างกลไกความร่วมมือที่โปร่งใสเพื่อให้ทุกฝ่ายเดินทิศทางเดียวกัน หากทำได้จะคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลกและก้าวข้ามกับดักเศรษฐกิจที่เผชิญ”นายปิยะชาติ กล่าว