หนุนคนละครึ่ง 'ปรับเงื่อนไข' ชูโมเดลจีน เพิ่มเกณฑ์ใช้จ่ายเงินขั้นต่ำต่อวัน

"คลัง” พร้อมลุย คนละครึ่งผ่าน “เป๋าตัง” ได้ทันที ใช้งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจปี 69 ที่มี 2.5 หมื่นล้านบาท “นักวิชาการ” ชี้ “คนละครึ่ง” 2.0 ต้องปรับเงื่อนไข แนะโมเดลจีนเพิ่มเกณฑ์ใช้จ่ายเงินขั้นต่ำ เร่งใช้จ่ายหมุนเงินเข้าระบบ “ภาคธุรกิจ” แนะเพิ่มวงเงินใช้จ่ายผ่านคนละครึ่ง ดำเนินการให้เร็ว ขยายให้ครอบคลุมท่องเที่ยวโรงแรม
KEY
POINTS
- รศ.ดร.อธิภัทร เสนอให้รัฐบาลใหม่ปรับปรุงเงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง โดยชูโมเดลของจีนที่ใช้เงื่อนไขการใช้จ่ายขั้นต่ำ และกำหนดวันหมดอายุของคูปอง เพื่อกระตุ้นการบริโภคให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
- ข้อเสนอแนะในการปรับเงื่อนไข ได้แก่ การเพิ่มเกณฑ์ใช้จ่ายขั้นต่ำ เช่น ต้องซื้อของ 100 บาทขึ้นไป จึงจะได้รับส่วนลด และการกำหนดวันหมดอายุของสิทธิ เพื่อจูงใจให้คนเร่งใช้จ่าย
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าโครงการคนละครึ่งในอดีตมีค่าความโน้มเอียงในการบริโภค (MPC) เพียง 0.4 ซึ่งต่ำกว่าโครงการของจีนที่มีค่า MPC สูงถึง 3.0 การปรับเงื่อนไขจึงจำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพภายใต้งบประมาณที่จำกัด
- ภาคธุรกิจ และเอกชนสนับสนุนการนำโครงการกลับมาใช้อย่างเร่งด่วน โดยเสนอให้เพิ่มวงเงินใช้จ่ายให้สูงขึ้น และขยายให้ครอบคลุมธุรกิจหลากหลายประเภท
รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศนโยบายเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มกำลังซื้อ เพิ่มรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่น ควบคู่ไปการลดค่าครองชีพ และแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร โดยเฉพาะนโยบายคนละครึ่งที่จะนำกลับมาใช้อีกครั้ง หลังได้รับการตอบรับดีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งล่าสุดกระทรวงการคลังได้ออกมายืนยันความพร้อมในการดำเนินการ
สำหรับโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการที่ประชาชนตอบรับ โดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการมา 5 เฟส รวมวงเงิน 234,500 ล้านบาท ในระหว่างปี 2563-2565 เพื่อบรรเทาค่าครองชีพในช่วงโควิด-19
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังพร้อมเต็มที่สำหรับโครงการคนละครึ่งเฟสใหม่ หากรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายชัดเจน โดยทางเทคนิคระบบมีความพร้อมเพราะเคยดำเนินการมาแล้วผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”
ส่วนด้านงบประมาณหากเริ่มหลังวันที่ 1 ต.ค.2568 จะใช้งบประมาณปี 2569 จากงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีวงเงิน 25,000 ล้านบาท และหากจำเป็นต้องใช้มากกว่านั้นก็โยกจากงบประมาณกลางมาใช้ได้
นายลวรณ กล่าวว่า การดำเนินการจะทำได้เร็วเพราะร้านค้าที่เคยเข้าร่วม และยังไม่ได้ลบแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ยังคงใช้งานต่อได้ทันทีหลังจากเปิดลงทะเบียนร้านค้าใหม่ ส่วนรายละเอียดของโครงการ เช่น กลุ่มเป้าหมายหรือสัดส่วนการร่วมจ่ายจะขึ้นกับนโยบายรัฐบาล แต่ทางแพลตฟอร์มที่พัฒนาไว้รองรับได้ทุกรูปแบบตามนโยบายรัฐบาล
สำหรับศักยภาพการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเร็วเกินไปที่จะประเมิน เพราะขึ้นกับขนาดโครงการ และปริมาณเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบต่อวัน แต่ยืนยันว่าทางเทคนิค และด้านงบประมาณพร้อมเต็มที่
ก่อนหน้านี้นายอนุทิน ระบุว่า มอบหมายว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเร่งพิจารณา และเมื่อปฏิบัติหน้าที่ได้จะดำเนินการทันทีเพราะมีน้อยไม่มาก ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นระดับจุลภาค และมหภาคมีแน่นอน
เวลามีน้อยแนะเดินหน้าให้เร็ว
รศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภารกิจเร่งด่วนรัฐบาลใหม่ภายใน 4 เดือนข้างหน้า โดยมีประเด็นหลักต้องพิจารณารอบด้าน แบ่งเป็น 3 โจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลเร่งแก้ ได้แก่
1. ปัญหาเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการบริโภค เนื่องจากรายได้จากการท่องเที่ยวลดลง และประชาชนยังระมัดระวังการใช้จ่าย
2.มาตรการภาษีเพื่อรองรับภาษีนำเข้าสหรัฐ
3.ประสิทธิภาพทางการคลัง และความยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้ เนื่องจาก Moody's ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของไทย โดยรัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และสถาบันจัดอันดับเรตติ้งเห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพ และจัดการหนี้สาธารณะได้ แม้มีความไม่แน่นอนทางการเมือง
รศ.ดร.อธิภัทร กล่าวว่า ระยะเวลา 4 เดือน เป็นทั้งจุดอ่อน และจุดแข็งของรัฐบาล โดยจุดอ่อนอยู่ที่รัฐบาลไม่สามารถออกนโยบายที่ต้องแก้ไขกฎหมายหรือ พ.ร.บ.ที่ต้องใช้เวลา และกระบวนการนาน
ส่วนจุดแข็ง คือ เวลาที่จำกัดทำให้รัฐบาลต้องกำหนดเป้าหมาย (priority) ที่ชัดเจน ซึ่ง 3 เรื่องหลักข้างต้นเป็นสิ่งต้องเร่งดำเนินการเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับโครงการ “คนละครึ่ง” ในอดีตที่ประสบความสำเร็จ เพราะรัฐบาลตระหนักดีว่ามีเวลาจำกัดจึงต้องเดินหน้าเร็ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันแตกต่างจากช่วงโควิด-19 อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องกระสุนทางการคลัง ที่มีจำกัด งบประมาณเหลือไม่ถึง 5,000 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลต้องนำงบอื่นมาสนับสนุน และคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้โครงการคนละครึ่ง 2.0 สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้งบประมาณที่จำกัด
ชงเพิ่มเงื่อนไขใช้จ่ายขั้นต่ำ
รวมทั้งหากเปรียบเทียบโครงการคนละครึ่งกับโครงการแจกเงินดิจิทัล มองว่าการแจกเงิน 10,000 บาท ต่อคน อาจมีการรั่วไหลของเงินสูง และไม่ลงสู่รากหญ้าเท่าที่ควร เพราะเงินจำนวนมากอาจถูกนำไปซื้อสินค้านำเข้า แต่ทางกลับกันโครงการคนละครึ่งมีกลไกจำกัดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กที่ช่วยร้านค้าท้องถิ่นได้อย่างชัดเจนกว่า
นอกจากนี้ การปรับเงื่อนไขเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนั้น เมื่อศึกษาโครงการคนละครึ่งในอดีตพบว่ามีค่า MPC (Marginal Propensity to Consume) หรือความโน้มเอียงในการบริโภคเฉลี่ยอยู่ที่ 0.4 หมายถึงรัฐให้เงิน 1 บาท คนใช้จ่ายเพียง 40 สตางค์ ซึ่งถือว่าไม่สูงนักเมื่อเทียบโครงการของจีนที่มีค่า MPC ถึง 3.0
ทั้งนี้ เนื่องจากจีนใช้เงื่อนไขการใช้จ่ายขั้นต่ำ และกำหนดวันหมดอายุของคูปองเพื่อจูงใจให้คนเร่งใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลใหม่ควรทบทวนเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่งใหม่ อาทิ
1.เพิ่มเงื่อนไขการใช้จ่ายขั้นต่ำ เช่น ต้องใช้จ่าย 100 บาทขึ้นไปจึงจะได้รับส่วนลด
2.มีวันหมดอายุของส่วนลด เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างเร่งด่วน
แนะรัฐบาลต้องกำหนดโจทย์ให้ชัด
รศ.ดร.อธิภัทร กล่าวว่า รัฐบาลต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าต้องการให้โครงการ “คนละครึ่ง” ตอบโจทย์อะไรให้มากที่สุด เช่น
1.การช่วยร้านค้าขนาดเล็ก หากเป็นเช่นนั้น เงื่อนไขเดิมที่เน้นร้านค้าขนาดเล็กที่ไม่จดทะเบียนนิติบุคคลก็เป็นจุดแข็งที่ต้องรักษาไว้
2.กระตุ้นการบริโภค หากเป็นเป้าหมายนี้ รัฐบาลต้องปรับเงื่อนไขการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และต้องสื่อสารกับประชาชนให้เข้าใจถึงการปรับเปลี่ยนนี้
“ความสำคัญของการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ และสื่อสารกับนานาชาติอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและหลีกเลี่ยงการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถืออีกครั้ง” ดร.อธิภัทร กล่าว
ชงเพิ่มวงเงินใช้จ่ายผ่าน “คนละครึ่ง”
นายอุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน กล่าวว่า ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการเห็นคือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเดินหน้าโครงการคนละครึ่ง
ทั้งนี้ ถือเป็นวิธีเดียวในการจะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยที่กำลังแย่ แต่ต้องเพิ่มวงเงินในการใช้จ่ายที่สูงขึ้นอีกเล็กน้อย และโครงการควรดำเนินการโดยเร็ว ให้ครอบคลุมไปในทุกธุรกิจ ไม่เพียงจำกัดอยู่แค่ร้านอาหาร แต่กระจายไปยังท่องเที่ยวทั้งโรงแรม และอื่นๆ
นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธาน กรรมการผู้จัดการบริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์สโตร์ จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกรายใหญ่ในจังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลใหม่จะปัดฝุ่นโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเครื่องมือเดิมของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ค่อนข้างมีความสมบูรณ์แบบ และไม่ควรเปลี่ยนแอปพลิเคชันไปใช้แอปทางรัฐ
นอกจากนี้ โครงการคนละครึ่งยังถูกพิสูจน์แล้วว่าได้ผล เพราะการจับจ่ายใช้สอย ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทันที และส่งผลต่อเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง
“โครงการคนละครึ่งควรทำให้เร็วสุด หยิบโครงการมาใช้เลย และหากรัฐบาลทำจะได้ใจประชาชนด้วย เหมือนที่นายกรัฐมนตรีใหม่ประกาศเดือนหน้าต้องมา พอคนรู้ต่างเฮ เพราะหากเปรียบเหมือนเศรษฐกิจ กำลังซื้อของคนเวลานี้เหมือนคนป่วย ปวดหัว การมีโครงการคนละครึ่งจะเป็นยาพาราเซตามอล พอให้แล้วหายเลย หรือแม้อาการป่วยไม่หายแต่ก็บรรเทาได้” นายมิลินทร์ กล่าว
เสนอปรับให้เข้าถึงหลากหลายขึ้น
นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลจะนำโครงการคนละครึ่งกลับมาใช้ โดยจากข้อมูลที่มีในระดับพื้นที่พบว่าโครงการนี้ได้พิสูจน์มาแล้วว่าสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และสามารถเป็นนโยบายที่ช่วยให้เศรษฐกิจนอกระบบ (Informal sector) เข้าสู่ระบบด้วย ซึ่งก็จะทำให้ระบบภาษีของเราดีขึ้นไปด้วย
นอกจากนั้นนโยบายนี้ยังช่วยในเรื่องของการแบ่งปันผลประโยชน์ (share benefit) ระหว่างผู้ประกอบการกับรัฐบาล แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนไปในตัว
อย่างไรก็ตามหากโครงการนี้นำมาใช้ใหม่ควรมีการปรับปรุงนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในท้องที่ และท้องถิ่นทั่วประเทศ ก็จะมีประโยชน์มากขึ้น รวมทั้งควรมีการกำหนดเงื่อนไขเชิงนโยบาย เช่น เงื่อนไขที่จะจัดหาความช่วยเหลือให้กับครัวเรือนเปราะบาง หรือความสอดคล้องของนโยบายคนละครึ่งกับนโยบายอื่น เช่น บัตรสวัสดิการภาครัฐ เป็นต้น
“หากสามารถปรับปรุง และเพิ่มเงื่อนไขนโยบายจะเชื่อมโยงไปสู่ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพัฒนายกระดับเศรษฐกิจฐานรากไปในตัว ไม่เกิดการกระจุกตัว” นายกิตติ กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







