รัฐบาลอนุทิน เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุยนโยบายควิกวินฟื้นกำลังซื้อ

รัฐบาลอนุทิน เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ลุยนโยบายควิกวินฟื้นกำลังซื้อ

“รัฐบาลอนุทิน” เดินเครื่องกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ลดค่าครองชีพ คนละครึ่ง ลดค่าพลังงาน แก้หนี้ ดันงบปี 69 ลงระบบเศรษฐกิจ งบกลางในมือมีกว่า 1.2 แสนล้าน เร่งลงทุนเมกะโปรเจกต์

KEY

POINTS

  • “รัฐบาลอนุทิน” เดินเครื่องกระตุ้นเศรษฐกิจทันที
  • เล็งลดค่าครองชีพ คนละครึ่ง ลดค่าพลังงาน แก้หนี้ ดันงบปี 69 ลงระบบเศรษฐกิจ
  • เผยมีงบกลางในมือมีกว่า 1.2 แสนล้าน จากงบกลางรายการฉุกเฉิน 9.8 หมื่นล้าน และงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.5 หมื่นล้าน
  • จับตาเร่งเมกะโปรเจกต์คมนาคมแสนล้าน จ่อเข้า ครม.

รัฐบาลอนุทิน นายอนุทิน ชาญวีรกูล ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะบุคคลที่จะมาร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัดส่วนบุคคลภายนอกซึ่งกระทรวงเศรษฐกิจเปิดตัววันที่ 6 ก.ย.2568 คือ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ส่วนนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 

ขณะที่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ (นายปานปรีย์ พหิทธานุกร) และอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

นายอนุทิน กล่าวหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ว่า ปัญหาเศรษฐกิจจะเร่งมาตรการลดรายจ่าย ลดค่าครองชีพ ลดค่าพลังงาน ค่าเดินทาง ค่าขนส่ง ให้ประชาชน และผู้ประกอบการ รวมทั้งแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกร และผู้มีรายได้น้อย โดยหามาตรการทั้งทางกฎหมายและอำนวยความสะดวกเสริมรายได้ผู้ประกอบการและประชาชน ชุมชนท้องถิ่นฐานรากให้แข็งแรงขึ้น

มอบโจทย์ “เอกนิติ” ลดค่าครองชีพ

แหล่งข่าวระดับสูงจากพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลชุดใหม่ได้หารือกันเบื้องต้น เน้นนโยบายเดินหน้าได้เร็ว เป็นนโยบายควิกวินเพราะเวลารัฐบาลมีน้อย เช่น นโยบายคนละครึ่ง นโยบายภาคท่องเที่ยว ทั้ง 2 ส่วนทำให้มีเม็ดเงินลงถึงระดับฐานรากเศรษฐกิจ โดยเฉพาะนโยบายคนละครึ่งที่เคยใช้ฟื้นเศรษฐกิจช่วงวิกฤติโควิด-19 

ขณะที่ นายอนุทิน ยืนยันช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระดับจุลภาคและมหภาค โดยจะฟื้นโครงการคนละครึ่งหรือไม่มีความเป็นไปได้หมด ถ้าเป็นประโยชน์ และประชาชนต้องการ ซึ่งมอบให้ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเร่งพิจารณา และเมื่อปฏิบัติหน้าที่สมบูรณ์จะดำเนินการทันที อาจพิจารณาใช้ Application เดิม

ตุนงบกลาง 1.2 แสนล้านบาท

รัฐบาลนายอนุทิน เข้ามาบริหารประเทศช่วงเริ่มต้นใช้ปฏิทินงบประมาณวันที่ 1 ต.ค.2568 ทำให้ไม่มีปัญหางบประมาณโดยมีงบประมาณปี 2569 ตาม พ.ร.บ.งบประมาณวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท และงบประมาณที่ได้ผูกพันไว้บางส่วน งบกลางที่เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีมี 2 ส่วน รวม 123,000 ล้านบาท คือ 1.งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนวงเงิน 98,000 ล้านบาท  2.งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 25,000 หมื่นล้านบาท

ส่วนงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินฯ นายกฯ จะหารือสำนักงบประมาณเพื่อเตรียมใช้รับมือภัยพิบัติ และสาธารณภัยปีละ 40,000-50,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นอำนาจนายกฯ อนุมัติร่วมกับ ครม.สำหรับโครงการที่เสนอเข้ามา

“เศรษฐกิจช่วงที่เหลือปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ การขับเคลื่อนเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลใหม่มีส่วนสำคัญ อีกส่วนหนึ่งจะเป็นมาตรการการคลังที่ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ที่มีประสบการณ์จะคิดนโยบายเพิ่ม” แหล่งข่าว กล่าว

เตรียมแผนจัดทำงบปี 2570

ทั้งนี้ รัฐบาลใหม่อยู่ในช่วงเริ่มทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 ซึ่งแม้รัฐบาลใหม่มีเวลาทำงานก่อนยุบสภา 4 เดือน แต่ต้องทำหน้าที่เตรียมจัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2570 

ช่วงปลายปี 2568 นายกฯ จะนัด 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณ หารือกรอบงบประมาณปี 2570 ซึ่งต้องสอดคล้องแผนการคลังระยะปานกลาง พ.ศ.2569-2572 

รวมทั้งเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะทบทวนใหม่ช่วงเดือนธ.ค.2568 เพราะเศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวชะลอกว่าที่คาด และกระทบการจัดเก็บรายได้รัฐ ซึ่งช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณล่าสุดต่ำกว่าเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท 

นอกจากนี้ นายกฯ จะเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อทบทวนกรอบการคลังระยะปานกลางของประเทศ ซึ่งอาจกระทบเวลาเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยที่อาจต้องเตรียมขยายเพิ่มกว่า 70% จากเดิมที่คาดว่าปี 2572 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะแตะระดับ 69.3% 

จ่อชง ครม.เคาะทางคู่-มอเตอร์เวย์

รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม ระบุว่า มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจกต์ภาครัฐที่ศึกษาความเหมาะสมการลงทุนแล้ว และรอ ครม.อนุมัติจำนวนมาก หากนับเฉพาะโครงการที่ศึกษาความเหมาะสมการลงทุนแล้ว พบว่าที่ผ่านมาอยู่ขั้นตอนรอเสนอ ครม.อนุมัติมีมากกว่า 10 โครงการ อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง มูลค่าการลงทุน 2.9 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ล่าสุดคณะกรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เห็นชอบอนุมัติลงทุน 3 โครงการ และอยู่ขั้นตอนรอเสนอ ครม.อนุมัติ ประกอบด้วย 1.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422 ล้านบาท 2.ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270 ล้านบาท และ 3.ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,772 ล้านบาท

นอกจากนี้ มีโครงการทางด่วนสายฉลองรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก (N2) ระยะทาง 6.7 กิโลเมตร วงเงิน 16,960 ล้านบาท  โครงการทางด่วนชั้นที่ 2 ช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double deck) ระยะทาง 17 กิโลเมตร วงเงิน 35,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการเรือธงของพรรคภูมิใจไทยช่วงนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อแก้ปัญหาจราจรบนทางด่วนช่วงงามวงศ์วาน-พระราม 9 ปัจจุบันรอเสนอคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐ และเอกชน (บอร์ด PPP) ก่อนเสนอ ครม.

โครงการพัฒนาทางพิเศษ (มอเตอร์เวย์) กรมทางหลวง (ทล.) รอเสนอ ครม.อนุมัติประกวดราคาก่อสร้าง คือ มอเตอร์เวย์ M8 ช่วงนครปฐม-ปากท่อ ระยะทาง 61 กิโลเมตร วงเงิน 43,227 ล้านบาท 

รวมถึงโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ลงทุนส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านตะวันออก (East Expansion) วงเงิน 13,000 ล้านบาท รอเสนอ ครม.ใหม่

นอกจากนี้ยังมีเมกะโปรเจกต์ที่จะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนที่รอ ครม.อนุมัติ เช่น โครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (แลนด์บริดจ์) เป็นต้น

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์