สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ชง 5 ข้อเสนอ ดันมาตรการ 'คนละครึ่ง' หนุนเศรษฐกิจฐานราก

"สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย" ชง 5 ข้อเสนอแนะ ดันมาตรการ "คนละครึ่ง" ภาคพิเศษ เร่งหนุนเศรษฐกิจฐานราก ฟื้นฟู SMEs แข็งแกร่ง
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยถึงมาตรการ "คนละครึ่ง" ภาคพิเศษหรือรูปแบบใหม่ที่ภาครัฐกำลังพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ประชาชนและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรากฐานที่กำลังประสบปัญหาซบเซารอคอยให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม โดยเสนอแนะว่าควรนำปัญหาและอุปสรรคในอดีตมาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น
นายแสงชัย กล่าวว่า สมาพันธ์ฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อมาตรการดังกล่าวเพื่อเป็นแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ และเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ประชาชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
แนวทาง 5 ข้อ สำหรับมาตรการคนละครึ่งรูปแบบใหม่ ประกอบด้วย
1. มุ่งเป้าที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย เช่น แรงงาน เกษตรกร ผู้ประกอบการ SME นักเรียน และนักศึกษา เพื่อให้การช่วยเหลือตรงจุดและครอบคลุม
2. ให้ความรู้และยกระดับผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการต้องลงทะเบียนและได้รับการอบรมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการ รวมทั้งส่งเสริมทักษะสำคัญ เช่น Digital Literacy และ Financial Literacy รวมถึงการใช้นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจ
3. สนับสนุนการเข้าระบบภาษี โดยจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าระบบภาษีและได้รับการยกเว้นภาษีจากการประกอบการ ไม่ต้องทำบัญชี แต่ให้เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แทน พร้อมมีโปรแกรมบัญชีและระบบ POS (Point of Sale) แบบง่ายเพื่อช่วยบริหารจัดการภาษี
4. ให้สิทธิประโยชน์จากการเก็บ VAT โดยให้นำภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บได้ในแต่ละรายไปสนับสนุนการยกระดับความสามารถของผู้ประกอบการและแรงงาน ผ่านระบบของหน่วยงานภาครัฐ เช่น สสว. และ DEPA รวมถึงการเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
5. สร้างเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยฐานข้อมูลขนาดใหญ่ จัดทำฐานข้อมูลที่ถูกต้องและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบมาตรการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในอนาคต
นายแสงชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 รัฐบาลควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองหลักและเมืองใกล้เคียง รวมถึงการจัดกิจกรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ให้มีกำหนดการที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียน ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการในทุกภาคส่วน
"มาตรการเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความต่อเนื่อง สร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะช่วยให้ GDP ในไตรมาสที่ 4 และภาพรวมทั้งปี 2568 ขยายตัวและแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนได้" นายแสงชัยกล่าว







