'เทคโนโลนี-นวัตกรรม”แผนโซลูชั่น การผลิตอาหาร-สร้างสุข‘เกษตรกร'

ผลผลิตธัญพืชทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.9% ต่อปี จากพื้นที่เก็บเกี่ยวที่ขยายตัวเพียง 0.14% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอัตรา 0.33% ในทศวรรษก่อนหน้าจึงเห็นได้ว่าภาคการเกษตรกำลังเผชิญความท้าทาย ท่ามกลางความเป็นหน่วยผลิตอาหารที่สำคัญของโลก
ข้อมูลจากรายงาน รายงานแนวโน้มการเกษตรของ OECD-FAO ปี 2025-2034 (OECD-FAO Agricultural Outlook 2025-2034) เผยแพร่โดย องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(OECD) ระุบว่า ภายในปี 2577 ธัญพืชทั้งหมด 40% จะถูกบริโภคโดยมนุษย์โดยตรง ในขณะที่ 33% จะถูกนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ส่วนที่เหลือคาดว่าจะมาจากการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพและการใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยมีความต้องการเชื้อเพลิงชีวภาพทั่วโลกที่จะเติบโตในอัตราเฉลี่ย0.9% ต่อปี ซึ่งมีบราซิล อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นผู้มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อน
รายงานยังคาดการณ์ว่า การผลิตสินค้าเกษตรและประมงทั่วโลกคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 14 % จนถึงปี 2034 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในประเทศรายได้ปานกลาง แต่การเติบโตนี้ต้องอาศัยการขยายฝูงสัตว์และพื้นที่เพาะปลูก แม้ว่าผลผลิตเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม และไข่จะเพิ่มขึ้น 17% แต่ปริมาณปศุสัตว์ แกะ สุกร และสัตว์ปีกทั่วโลกจะขยายตัว 7% การพัฒนาเหล่านี้จะนำไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางการเกษตรโดยตรงเพิ่มขึ้น 6% ในทศวรรษหน้า
ดังนั้นการปรับปรุงผลิตภาพที่คาดการณ์ไว้คาดว่าจะกดดันให้ราคาสินค้าเกษตรที่แท้จริงลดลง ซึ่งอาจสร้างความท้าทายสำคัญสำหรับเกษตรกรรายย่อยที่มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของตลาดและมีศักยภาพจำกัดในการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมที่จำเป็นต่อการเพิ่มผลผลิตมาใช้ นอกจากความพยายามการปรับปรุงด้านผลิตภาพแล้ว รัฐบาลยังต้องมั่นใจว่าเกษตรกรสามารถเข้าถึงตลาดและโครงการสนับสนุนที่ออกแบบเฉพาะท้องถิ่นได้ดียิ่งขึ้น
รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ (Outlook) ระบุว่า จำเป็นต้องเพิ่มความพยายามในการปรับปรุงผลิตภาพทางการเกษตรเพื่อรับมือกับความท้าทายสองประการ ได้แก่ การลดภาวะทุพโภชนาการและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตร
จากการวิเคราะห์สถานการณ์จำลองชี้ให้เห็นว่าภาวะทุพโภชนาการทั่วโลกสามารถขจัดได้ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางการเกษตรโดยตรงลง 7% จากระดับปัจจุบัน หากมีการลงทุนร่วมกันในเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการเพิ่มผลผลิตอาหารผ่านการปรับปรุงผลิตภาพ15% ผ่านเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ การปรับปรุงอาหารสัตว์ การจัดการสารอาหารและน้ำที่ดีขึ้น และแนวทางปฏิบัติต้นทุนต่ำที่สามารถปรับขนาดได้ เช่น การปลูกพืชหมุนเวียนและการปลูกพืชแซม เป็นสิ่งจำเป็นต่อการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้
วินิต อธิสุข รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก. ในฐานะหน่วยงานวิเคราะห์นโยบายด้านการเกษตร ได้จัดทำดัชนีความผาสุกของเกษตรกรขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร และเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดของแผนปฏิบัติการด้านการเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. 2566 - 2570โดยดัชนีดังกล่าวครอบคลุมองค์ประกอบที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของเกษตรกร 5 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขอนามัย ด้านการศึกษา ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม
สำหรับภาพรวมระดับประเทศในปี2567ดัชนีความผาสุกของเกษตรกรมีค่าที่ระดับ81.39 เพิ่มขึ้นจาก ปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 80.79 สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับดี เมื่อพิจารณาในรายภูมิภาค พบว่าภาคใต้มีค่าดัชนีความผาสุกสูงสุดที่ระดับ 83.04รองลงมาคือภาคเหนือ82.07ภาคกลาง81.48 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ80.51 ซึ่งทุกภูมิภาคล้วนมีการพัฒนาอยู่ในระดับดีเช่นเดียวกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ด้านสุขอนามัยมีค่าดัชนีสูงถึง 99.87อยู่ในระดับ “ดีมาก” และใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า เป็นผลจากพฤติกรรมการบริโภคของครัวเรือนเกษตรที่หันมาให้ความสำคัญต่อสุขภาพและความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น ประกอบกับนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ อาทิ โครงการปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ และการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรตามมาตรฐาน GAP เกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์
ด้านสังคมมีค่าดัชนี 93.43อยู่ในระดับ “ดีมาก” เพิ่มขึ้นจากปี 2566 เป็นผลจากความสัมพันธ์อันดีของสมาชิกในครัวเรือนเกษตร ประกอบกับภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัย และจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะอาชีพที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ
ด้านเศรษฐกิจมีค่าดัชนี 77.96อยู่ในระดับ “ปานกลาง” แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยผลสำรวจพบว่า รายได้เงินสดสุทธิของครัวเรือนเกษตรในปี 2567อยู่ที่ 308,294บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.90 จากปี 2566ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว
ด้านสิ่งแวดล้อมมีค่าดัชนี 61.46อยู่ในระดับ “ต้องปรับปรุง” และลดลงจากปี 2566สาเหตุหลักมาจากการลดลงของพื้นที่เป้าหมายในการฟื้นฟูทรัพยากรดินและสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ เนื่องจากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากไฟป่าที่เพิ่มขึ้น
ด้านการศึกษามีค่าดัชนี 56.30แม้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ยังคงอยู่ในระดับ “ต้องเร่งแก้ไข” เนื่องจากครัวเรือนเกษตรส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 50.18เป็นผู้สูงวัย (อายุ 60ปีขึ้นไป) และส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่าภาคบังคับ ทำให้ระดับการศึกษาในภาพรวมยังอยู่ในระดับต่ำ
เมื่อเปรียบเทียบกับค่าดัชนีในช่วงสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับก่อนหน้า โดยแผนฯ ฉบับที่ 10 (สิ้นสุดปี 2554) อยู่ที่ระดับ 76.97,แผนฯ ฉบับที่ 11 (สิ้นสุดปี 2559)อยู่ที่ระดับ 80.51,และแผนฯ ฉบับที่ 12 (สิ้นสุดปี 2565)อยู่ที่ระดับ 80.46จะเห็นได้ว่าดัชนีความผาสุกของเกษตรกรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
โดยมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาในด้านที่ยังต้องปรับปรุง ดังนี้ด้านการศึกษาสนับสนุนให้เกษตรกรได้รับการศึกษาภาคบังคับอย่างทั่วถึง และส่งเสริมการฝึกอบรมทักษะด้านเทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ โดยเฉพาะนวัตกรรมที่เหมาะสมกับเกษตรกรสูงวัยด้านสิ่งแวดล้อมส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ป่าไม้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ควบคู่กับการสนับสนุนการทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจยกระดับรายได้ครัวเรือนเกษตรโดยส่งเสริมการผลิตสินค้าที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน และการให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการทางการเงิน เพื่อสร้างวินัยและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว







