กรมฝนหลวงคลายข้อสงสัยน้ำฝนที่ได้จากการปฏิบัติการปลอดภัยแค่ไหน

ภัยแล้ง คือภัยร้าย ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรของไทย ฝนหลวงจึงเป็นทางออกของปัญหานี้ อีกทั้งน้ำฝนที่ได้ยังมีคุณภาพไม่แตกต่างจากน้ำฝนธรรมชาติ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งการอุปโภคบริโภคและด้านการเกษตร
นายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า ปัจจุบันไทยเป็นที่ 1 ของโลกเรื่องการดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้กลายเป็นฝน หลายประเทศให้ความสนใจและเข้ามาเรียนรู้ แต่การนำไปใช้ยังมีน้อย เนื่องจากการขึ้นบินเพื่อทำฝนหลวงแต่ละครั้งต้องใช้ความเชี่ยวชาญและมีปัจจัยสภาพอากาศ ความชื้นสัมพัทธ์ ก้อนเมฆในขณะนั้นด้วย หากเห็นก้อนเมฆแล้วต้องรีบโจมตี เพื่อไม่ให้ก้อนเมฆสลาย
ทั้งนี้การทำฝนหลวงจะใช้เครื่องบินอย่างน้อย 3 ลำ การขึ้นบินครั้งแรก คือการก่อกวน ต่อมาการขึ้นบินเพื่อเลี้ยงเมฆให้อ้วน และการขึ้นบินครั้งที่ 3 คือการโจมตีก้อนเมฆเพื่อให้เกิดฝน ดังนั้นหากมีเครื่องบินเพียงลำเดียวก็ต้องขึ้นบิน 3 เที่ยว ซึ่งเปอร์เซนต์ได้ฝนก็จะลดลงเมื่อเทียบกับการใช้เครื่องบิน3 ลำที่สามารถโจมตีได้เร็วขึ้น
การขึ้นบินแต่ละครั้งจะมีเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องอย่างน้อย 7 คน ประกอบด้วยนักบิน 2 คน นักวิทยาศาสตร์ 1 คน เจ้าหน้าที่ผสมสาร 2 คนและ เจ้าหน้าที่โปรยสาร 2 คน สารที่ใช้ในกระบวนการทำฝนหลวงเช่น เกลือทะเล เกลือสินเธาว์ สารประกอบแคลเซียม ยูเรีย น้ำแข็งแห้ง และซิลเวอร์ไอโอไดด์ ซึ่งจะใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้กระบวนการเกิดฝนตกได้จริง โดย การก่อกวน สารที่ใช้คือเกลือแกง (NaCl) หรือโซเดียมคลอไรด์เป็นเกลือที่พบทั่วไปในธรรมชาติและใช้ประกอบอาหาร ปริมาณที่ใช้ไม่มาก ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การเลี้ยงให้อ้วน สารที่ใช้ คือแคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride) และแคลเซียมออกไซด์ (Calcium Oxide) ซึ่งไม่ได้เป็นสาเหตุของการปนเปื้อนโลหะหนักในน้ำฝน และปริมาณที่ใช้ไม่มาก ในขั้นของการโจมตีแบบแซนวิช สารที่ใช้คือเกลือแกง (NaCl), ยูเรีย (Urea) ซึ่งในส่วนของยูเรีย เป็นปุ๋ยที่ใช้ทางการเกษตรอยู่แล้ว ในการปฏิบัติการฝนหลวงใช้ในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบปริมาณเมฆที่ทำการปฏิบัติการ
ในขั้นของการโจมตี สารที่ใช้คือ น้ำแข็งแห้ง แม้จะเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ระเหิดจะคืนสู่ชั้นบรรยากาศ แต่จะไม่กระทบกับชั้นบรรยากาศ เพราะปริมาณที่ใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงน้อยมาก เมื่อเทียบกับ คาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมอื่น จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่ใช้ในการทำฝนหลวงถือว่าน้อยมาก หลักกรัมต่อรอบปฏิบัติการ กระจายตัวกว้างในชั้นบรรยากาศ ทำให้ระดับความเข้มข้นที่ตกสู่พื้นดินต่ำมากจนแทบไม่ก่ออันตรายและในขั้นการโจมตีแบบซุปเปอร์แซนวิช เป็นการปฏิบัติการในขั้นตอนที่ 3,4,5 พร้อมกันและทำให้เกิดฝน
สำหรับน้ำฝนที่ได้จากการทำฝนหลวง หลายฝ่ายมีความกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อการอุปโภคบริโภคและสิ่งแวดล้อมนั้น จากผลการศึกษาผลตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำฝน พบว่า น้ำฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวง มีคุณภาพไม่แตกต่างจากน้ำฝนธรรมชาติและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำบริโภคขององค์การอนามัยโลก (WHO) มาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อการเกษตรขององค์การอาหารและการเกษตร แห่งสหประชาชาติ (FAO) และมาตรฐานของหน่วยงานในประเทศไทย มาตรฐานน้ำบริโภคของไทย มาตรฐานน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิทตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำบริโภคตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม จึงสามารถนำไปใช้อุปโภคบริโภค ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ เหมือนน้ำฝนธรรมชาติทั่วไป ไม่มีสารตกค้างในปริมาณที่เป็นพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม รวมทั้งกิจกรรมของประชาชนแตกต่างจากอดีต จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังคุณภาพน้ำฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและสังคมในการใช้น้ำฝนจากการปฏิบัติการฝนหลวง ในการอุปโภคบริโภคและการใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
“น้ำฝนหลวงสามารถดื่มได้แน่นอนเนื่องจากกรมฝนหลวงและการบินเกษตรระบุว่าได้มีการตรวจวิเคราะห์แล้วว่าน้ำมีความบริสุทธิ์อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำดื่มน้ำใช้ขององค์การอนามัยโลกและไม่มีอันตรายต่อคน สัตว์ และพืช สารที่ใช้ในการทำฝนหลวงเป็นสารธรรมชาติที่ไม่มีอันตรายและใช้ในปริมาณน้อยมากจึงไม่ก่อให้เกิดพิษภัยต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม”นายราเชน กล่าว
สำหรับผลปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ – 26 สิงหาคม 2568ได้ปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 161 วัน 2,065 เที่ยวบิน 2,908 ชั่วโมง 29 นาทีปริมาณสารที่ใช้ปฏิบัติการฝนหลวง จำนวน 1,635.15 ตัน และ พลุ (Flare) จำนวน 965 นัดมีฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวง 95.65% โดยการปฏิบัติการฝนหลวงแก้ปัญหาภัยแล้ง สามารถช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรได้ 141.94 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ 63 จังหวัด
ทั้งนี้เพื่อความแม่นยำในการทำฝนหลวง ขณะนี้กรมฝนหลวงอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำแข็งแห้ง 5 แห่ง กำลังการผลิต 1ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะส่งผลให้ทำฝนหลวงได้สะดวกขึ้น จากเดิมที่ต้องรับบริจาค จากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) โดยมีที่ตั้ง ที่ จ.ตาก พิษณุโลก ขอนแก่น บุรีรัมย์และเพชรบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นเดือน ต.ค.นี้
การพัฒนาของฝนหลวง ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น จีน การใช้จรวดดัดแปรสภาพอากาศ(Weather Modification Rockets) เพื่อการโปรยสารเคมีเข้าสู่กลุ่มเมฆแทนการใช้เครื่องบิน ซึ่งมีข้อดี คือมีต้นทุนต่ำกว่าเครื่องบิน ทำงานได้แม้ในพื้นที่เสี่ยงภัยการบิน เช่น เขตภูเขาสูง หรือสภาพอากาศเลวร้าย เข้าถึงพื้นที่ได้รวดเร็ว สามารถยิงจากสถานีภาคพื้นดิน
แต่วิธีการนี้การควบคุมตำแหน่งแม่นยำ น้อยกว่าเครื่องบินโดยจรวดเมื่อยิงขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถปรับเส้นทางเหมือนเครื่องบินได้ ข้อจำกัดด้านกฎหมายและความปลอดภัยต้องระวังพื้นที่ยิงจรวด เพราะอาจตกกระทบประชาชนหรือทรัพย์สิน ต้องใช้กับสภาพภูมิประเทศที่เป็นพื้นที่ราบกว้างเหมาะสม แต่พื้นที่ประเทศไทยซับซ้อนและมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศอาจมีข้อจำกัด
“การใช้จรวดในการดัดแปรสภาพอากาศของประเทศไทยยังคงต้องพัฒนาต่อไป ก่อนที่จะนำมาใช้จริง เนื่องจากประเทศไทยมีภูมิประเทศที่ซับซ้อน มีบ้านเรือนประชาชนอาศัยอยู่เกือบทุกพื้นที่ ต้องพัฒนาระบบการควบคุมตำแหน่งให้มีความแม่นยำสูง เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อประชาชน และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศต่อประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นวิธีการนี้เป็นอีกทางเลือกเสริมการปฏิบัติการฝนหลวงด้วยเครื่องบิน ไม่ได้มาแทนที่การใช้เครื่องบินฝนหลวงทั้งหมด”







