พาณิชย์ เผยตลาดเนื้อสัตว์เวียดนามแข่งขันสูงเหตุเนื้อนำเข้าบุกตลาด

ตลาดนำเข้าเนื้อสัตว์เวียดนามแข่งขันหนัก หลังเนื้อนำเข้าทะลักเข้าตลาดเวียดนามสูง เผย 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านเดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 23 %
KEY
POINTS
- ตลาดนำเข้าเนื้อสัตว์ในเวียดนามมีการแข่งขันสูงขึ้นจากการทะลักของสินค้านำเข้าคุณภาพสูงจากยุโรป สหรัฐฯ และออสเตรเลีย
- เนื้อสัตว์นำเข้ามีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม 20-40% ทำให้ผู้ผลิตในประเทศซึ่งมีต้นทุนสูงไม่สามารถแข่งขันได้
- ผู้บริโภคชาวเวียดนามหันมานิยมเนื้อสัตว์นำเข้ามากขึ้น เนื่องจากให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้านอาหารและราคาที่คุ้มค่ากว่า
เว็ปไซต์กรมส่งเสริมการค้าต่างประเทศ โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในประเทศ (สคต.) ณ นครโฮจิมินท์ ประเทศเวียดนาม รายงานถึงสถานการณ์ตลาดเนื้อนำเข้าในเวียดนาม ว่า ตลาดนำเข้าเนื้อสัตว์กำลังขยายตัวอย่างคึกคัก โดยเฉพาะจากผู้ประกอบการยุโรป สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ที่เร่งรัดการส่งออกเข้าสู่ประเทศ ผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอมุ่งเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานการผลิตระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคของผู้บริโภคชาวเวียดนามที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture: USDA) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ระบุว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีการบริโภคเนื้อสุกรสูงที่สุดในโลก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายในปี 2572 ปริมาณการบริโภคอาจสูงถึง 4 ล้านตันต่อปี สะท้อนศักยภาพทางการตลาดที่ดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
สถิติครึ่งแรกของปี 2568 เวียดนามใช้งบประมาณกว่า 900 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำเข้าเนื้อสัตว์กว่า 451,000 ตัน เพิ่มขึ้นทั้งเชิงปริมาณและมูลค่าเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื้อนำเข้าหลัก ได้แก่ เนื้อกระบือ เนื้อโค เนื้อสุกร และสัตว์ปีกแช่แข็งจากประเทศที่มีความได้เปรียบด้านการผลิตขนาดใหญ่และต้นทุนต่ำ ส่งผลให้ราคาจำหน่ายมีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น เนื้อสุกรจากบราซิลมีราคาต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 20 – 30 % และเนื้อจากยุโรป แคนาดา และออสเตรเลียบางรายการมีราคาต่ำกว่าถึง 40 % ทำให้ผู้เลี้ยงสัตว์ในประเทศเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก
นอกจากการแข่งขันด้านราคาแล้ว ผู้ประกอบการจากยุโรปยังใช้กลยุทธ์การตลาดที่เน้นคุณภาพและมาตรฐานสูงเพื่อเจาะตลาดเวียดนาม
ปัจจุบันเวียดนามนำเข้าเนื้อสัตว์และส่วนประกอบอื่น ๆ ของสัตว์จากกว่า 40 ประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่เนื้อสุกร เนื้อวัว เนื้อกระบือ เนื้อไก่แช่แข็ง ไปจนถึงวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดเนื้อสัตว์ภายในประเทศรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้ประกอบการในประเทศกลับต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงจากการพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า โดยเฉพาะอาหารสัตว์ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของต้นทุนทั้งหมด อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายภาษี เช่น การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 5% สำหรับอาหารสัตว์ (ซึ่งเดิมได้รับการยกเว้น) ส่งผลให้ต้นทุนยิ่งสูงขึ้นและลดขีดความสามารถในการแข่งขัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัท Viet Uc Agricultural Livestock ซึ่งมีจำนวนฝูงโคลดลงกว่า 90 % ภายใน 4 ปี เนื่องจากภาระต้นทุนและกำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
สคต.นครโฮจิมินท์ ได้วิเคราะห์ว่า เวียดนามถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการนำเข้าเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์อยู่ที่ประมาณ 2,600 ล้านเดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 23 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเฉพาะเดือนก.ค. เพียงเดือนเดียว การนำเข้ามีมูลค่าสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์
โดย กลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ เนื้อสัตว์และส่วนประกอบอื่น ๆ ของสัตว์ ซึ่งมีมูลค่ารวมมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ที่ขยายตัวต่อเนื่อง สวนทางกับข้อจำกัดของผู้ผลิตในประเทศที่ไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีความผันผวนสูง ส่งผลให้ราคาจำหน่ายเนื้อสัตว์ในประเทศอยู่ในระดับสูงและแข่งขันได้ยาก ขณะที่เนื้อนำเข้ามีราคาต่ำกว่าและผ่านมาตรฐานการผลิตที่น่าเชื่อถือ จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ประจำและอาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่า
"สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดแรงกดดันโดยตรงต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และผู้ประกอบการแปรรูปภายในประเทศ ซึ่งต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น อัตรากำไรลดลง และความเสี่ยงต่อการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด"
ปัจจุบัน เวียดนามมีแนวโน้มการนำเข้าเนื้อสัตว์และส่วนประกอบอื่น ๆ ของสัตว์จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบริโภคที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามการเติบโตทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้ประชากร ขณะเดียวกัน ต้นทุนการผลิตภายในประเทศยังเผชิญความผันผวนจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูง ทำให้ราคาเนื้อสัตว์ท้องถิ่นไม่สามารถแข่งขันได้กับสินค้านำเข้าที่มีต้นทุนต่ำกว่าและมีคุณภาพที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากกว่า ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ตลาดเวียดนามเปิดกว้างต่อสินค้านำเข้าและเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
ในด้านนโยบายการค้า เวียดนามมีแนวทางที่เปิดกว้างต่อการนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจแน่นแฟ้นและมีความสะดวกด้านการขนส่ง ปัจจัยนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ของไทย เนื่องจากไทยมีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ และความตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนความเชื่อมโยงการค้าในระดับทวิภาคีและภูมิภาค
ในด้านโครงสร้างตลาด การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคเวียดนาม โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่มีรายได้สูงขึ้น กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แช่เย็นและแช่แข็งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยดังกล่าวสอดคล้องกับศักยภาพของไทยที่มีอุตสาหกรรมปศุสัตว์และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารพัฒนาไปไกล ทั้งในด้านมาตรฐานความปลอดภัย ระบบตรวจสอบย้อนกลับ และเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย จึงทำให้ไทยอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการของตลาดเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยยังคงเผชิญข้อจำกัดสำคัญจากการที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกเนื้อสัตว์ไปยังเวียดนามโดยตรง ข้อจำกัดนี้แม้จะเป็นอุปสรรคเชิงการค้า แต่ก็เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยพิจารณากลยุทธ์อื่น ๆ ในการเข้าสู่ตลาด เช่น การจัดตั้งโรงงานแปรรูปในเวียดนาม การร่วมทุนกับผู้ประกอบการท้องถิ่นในระบบห่วงโซ่ความเย็น (Cold chain) รวมถึงการพัฒนาแบรนด์อาหารพร้อมบริโภคเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ กลยุทธ์ดังกล่าวจะไม่เพียงช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าไทย แต่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่ยั่งยืนและเสริมความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการไทยในตลาดเวียดนามในระยะยาว







